เมื่อวันศุกร์ที่ 11 กันยายนที่ผ่านทาง VMware ได้จัดสัมมนาออนไลน์ขึ้นในหัวข้อ “VMware vSAN 101: Back to the Future” โดยสำหรับท่านที่พลาดเข้าชมในเวลานั้น ทางทีมงาน TechTalkThai จึงได้สรุปเนื้อหาใจความสำคัญของการสัมมนามาให้ได้ติดตามกันครับ
ผู้ดูแลระบบไอทีมือเก๋าทุกท่านคงพอนึกภาพได้ว่าระบบไอทีจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ Compute, Storage และ Network รวมไปถึงอุปกรณ์ด้าน Security อย่างไรก็ดีหากเจาะลึกลงไปถึงส่วนของ Storage อย่าง NAS หรือ SAN จะพบว่าสมัยก่อนนั้น ผู้ดูแลต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ อย่างโชกโชนเช่น
- Storage แต่ละชุดมีข้อจำกัดจาก Controller เพราะเมื่อใช้ไปเรื่อยๆ CPU/Memory จะเต็ม จนทำให้ต้องมีการอัปเกรตอุปกรณ์
- หากใช้ดิสก์คนละประเภทกันจะทำให้เกิดปัญหาคอขวดที่ Controller
- ปัญหาการบริหารจัดการ RAID Type ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากและใช้เวลานาน
- ต้องใช้ SAN Switch เพื่อทำการเชื่อมต่อ ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยาก
- ความไม่เข้ากันของ Storage แต่ละยี่ห้อหรือข้ามรุ่นที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
จากปัญหาเหล่านี้พบว่า Storage ในอดีตไม่มีความยืดหยุ่นเลย เพราะหากต้องการขยายก็ต้องลงทุนสูงมาก รวมถึงยังเป็นภาระให้แก่ทีมไอที ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเทคโนโลยีที่ยุบรวมระหว่าง Compute, Storage และ Network เข้าด้วยกัน เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่า Hyper-converge Infrastructure (HCI)
การเปลี่ยนระบบโครงสร้างพื้นฐานครั้งสำคัญนี้ ทำให้ทีมงานไอทีและองค์กรมีความคล่องตัวมากกว่าเดิมอย่างน้อยที่สุดก็คือในเรื่องของขนาดของ Storage ที่เปลี่ยนโฉมใช้พื้นที่แร็กแค่ไม่กี่ยูนิตก็สามารถให้บริการแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ได้ รวมถึงสามารถบริหารจัดการทั้ง 3 องค์ประกอบได้ด้วยเครื่องมือชุดเดียวกันลดความยุ่งยากและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเพราะมีเครื่องมือหลากหลายเกินไป
อย่างไรก็ดีแม้ภาพรวมของ Hardware จะเปลี่ยนไปแต่ Storage ยังไม่ได้ทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ VMware ผู้นำตลาดซอฟต์แวร์ด้าน Virtualization จึงได้คิดค้นโซลูชันในการผสานรวม Storage ที่อยู่ใแต่ละเครื่องให้เป็นผืนเดียวกัน ผ่านโซลูชันที่ชื่อว่า vSAN นั่นเอง
การใช้งาน VMware vSAN ดีอย่างไร?
VMware เป็นผู้นำในด้านของซอฟต์แวร์มานานแล้ว นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานจะเลือกใช้ Hardware จาก Vendor รายต่างๆ ได้ เพียงแค่นำซอฟต์แวร์จาก VMware ไปติดตั้งก็สามารถเริ่มโซลูชัน HCI ได้ทันที โดยโซลูชัน VMware บน DELL Technologies จะใช้ชื่อว่า VXRail ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตรายใหญ่ทั้งสองค่าย อย่างไรก็ดีสำหรับโซลูชันกับ Vendor รายอื่นๆ ซึ่งมีการรับรองจาก VMware จะใช้ชื่อว่า Ready Node นอกจากเรื่องความอิสระของฮาร์ดแวร์แล้ว vSAN ยังมีประโยชน์อีกหลายประการดังนี้
1.) ติดตั้งง่าย
สำหรับผู้สนใจใช้งาน vSAN สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ โดยมีความต้องการเบื้องต้นดังนี้
- ใช้ฮาร์ดแวร์ที่ได้การรับรองจาก VMware ซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย โดยสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่นี่
- มีโฮสต์อย่างน้อย 3 เครื่อง
- ติดตั้ง vSphere เวอร์ชัน 6.0 ขึ้นไปจากนั้นเข้าไปเปิดฟีเจอร์ vSAN
ซึ่งทีมงาน VMware ได้สาธิตให้ผู้ชมทุกคนเห็นว่าสามารถเปิดฟีเจอร์ vSAN ทำได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็พร้อมใช้งานแล้ว
2.) ทำ RAID ระดับ VM ได้
ด้วยความสามารถของซอฟต์แวร์ผู้ใช้งาน vSAN จะสามารถกำหนด RAID Policy และบังคับใช้ที่ระดับ VM ได้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการอย่างมากตัวอย่างเช่น เราสามารถทำ RAID 1 ให้กับไดร์ฟ D และทำ RAID 5 ให้ไดร์ฟ C เพราะมีความสำคัญของข้อมูลไม่เท่ากันได้
3.) รองรับการทำ Scale up และ Scale Out
จากเดิมที่องค์กรจะประสบปัญหาข้อจำกัดของ Traditional Storage ซึ่งขยายทรัพยากรได้ยาก แต่ด้วยความสามารถของ vSAN ผู้ใช้งานจะสามารถทลายข้อจำกัดของดิสก์ต่างยี่ห้อกัน ซึ่ง 1 Cluster ของ vSAN สามารถเพิ่มได้ถึง 64 โหนด รวมถึงสามารถใส่ดิสก์ที่มีความจุต่างกันได้ด้วย
4.) พร้อมต่อยอดไป Hybrid หรือ Multi-Cloud
VMware มียังมีโซลูชันที่ชื่อว่า VMware Cloud Foundation (VCF) ซึ่งมีส่วนประกอบที่สามารถตอบโจทย์การทำงานกับ Containerized ที่ชื่อว่า Tanzu แถมยังมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่โดยการนำ VCF ไปติดตั้งเพื่อให้บริการบน AWS, Google และ Microsoft Azure ทำให้องค์กรสามารถจัดการ Workload ได้ข้ามทุกคลาวด์ด้วยเครื่องมือเดิมอย่างไร้รอยต่อ
5.) ให้บริการ File Share และ Cloud Native Storage
ผู้ใช้งาน vSAN สามารถเปิดให้บริการ File Share ได้ทันที โดยรองรับโปรโตคอล NFS 4.1 และ 3 นอกจากนี้ยังสามารถบริหารจัดการการทำ ACL, Quota และมีระบบ HA ด้วย ด้วยเหตุนี้องค์กรไม่ต้องไปแสวงหาต่อ External Storage มาให้ยุ่งยากอีกต่อไป ไม่เพียงเท่านั้นvSAN ยังสนับสนุนการใช้งานเป็น Persistent Volume ให้กับ Kubernetes Cluster บน VMware ได้ด้วย จึงทำให้องค์กรสามารถให้บริการแอปพลิเคชันแบบดั้งเดิมและแอปพลิเคชันแบบ Cloud Native ได้
อันที่จริงแล้ว VMware ยังมีโซลูชันต่อยอดอื่นๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมทั้งในแง่ของ Security ด้วย NSX หรือติดตามประสิทธิภาพของระบบด้วย vRealize ซึ่งทั้งหมดร้อยเรียงกันด้วยเทคโนโลยี Software-defined data center นั่นเอง ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ VMware vSAN