Application นั้นได้ส่งผลต่อชีวิตของผู้บริโภคมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และได้เปลี่ยนแปลงการจัดการและวิธีการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา ตั้งแต่การซื้อสินค้า, การสั่งอาหาร, การเรียกยานพาหนะ ไปจนถึงการทำธุรกรรมกับธนาคาร ประสบการณ์เหล่านี้จะยังคงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและใช้งานได้ง่ายดายยิ่งขึ้น เมื่อผู้บริโภคคาดหวังถึง UX และ UI ที่ดียิ่งขึ้นบน Application ที่ตนเองใช้งาน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ IDC นั้นได้ระบุว่าภายในปี 2024 นักพัฒนา Software กลุ่มใหม่ที่จะทำการสร้าง Application ได้โดยไม่ต้องทำการเขียนโค้ดนั้นจะมีปริมาณมากถึง 20% เมื่อเทียบกับนักพัฒนาทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนักพัฒนาเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งในการทำโครงการด้าน Digital Transformation ในทุกอุตสาหกรรม เพื่อพลิกโฉมการทำงานในแต่ละวงการและการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง Low-Code จะเข้ามาทำให้นักพัฒนากลุ่มนี้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันได้, ปรับกระบวนการการทำงานให้เป็นมาตรฐานได้ และทำให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจร่วมกัน และยังปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
ต่อไปนี้คือ 5 แนวโน้มที่เราพบในวงการด้านการพัฒนา Application ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก:
#1: การเร่งสร้างนวัตกรรมใหม่ จะช่วยให้เกิดการใช้งาน Low-Code Platform มากขึ้น
องค์กรนั้นกำลังมองหาหนทางที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรม, กำจัดระบบที่แยกขาดจากกันเป็นเอกเทศ และลดค่าใช้จ่ายลง ซึ่ง Low-Code ก็สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ทั้งหมด โดยในการสร้างนวัตกรรมนั้น หลายองค์กรจะใช้งาน Low-Code Platform เพื่อเปลี่ยนจากไอเดียที่มีให้กลายเป็นระบบ Prototype ตามแนวคิด Minimum Viable Product (MVP) ไปจนถึงการต่อยอดจนกลายเป็นระบบ Application ที่สมบูรณ์ การเขียนโค้ดที่มีความซับซ้อนนั้นจะไม่จำเป็นอีกต่อไป
ถ้าองค์กรมีการใช้งาน Low-Code Platform อยู่แล้ว องค์กรเหล่านี้ก็จะสามารถผลักดันให้นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันให้เข้าใจถึงความสามารถของ Low-Code Platform เพื่อเร่งความเร็วในการพัฒนา Software และการตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจให้เร็วขึ้นได้ ระบบ Low-Code Platform ยังสามารถทำให้นักพัฒนาที่เขียนโค้ดไม่ได้นั้นสามารถสร้าง Application ได้ด้วยความสามารถที่ตนเองมีอยู่ และทำให้นักพัฒนาที่มีประสบการณ์สามารถเข้ามาช่วยพิจารณาและปรับปรุงระบบจนสมบูรณ์ได้ ทำให้เกิดการถ่ายงานกันได้อย่างราบรื่น
#2: Low-Code จะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการทำ Digital Transformation ให้เกิดขึ้นจริง
เมื่อ Digital Transformation ได้กลายเป็นวาระหลัก เหล่าธุรกิจองค์กรนั้นต่างก็ถูกบังคับให้ต้องใช้กลยุทธ์ทางด้านเทคโนโลยีและคว้าโอกาสทางด้าน Digital เอาไว้ให้ได้ ซึ่งองค์กรนั้นก็มักจะมีแผนที่จะปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นในทุกแง่มุม ตั้งแต่กระบวนการทำงานทั่วไป ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า อย่างไรก็ดี องค์กรนั้นก็ต้องการตัวกลางที่จะช่วยเปลี่ยนไอเดียเหล่านี้ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้เอง ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ และองค์กรก็ควรจะพิจารณาการใช้งานระบบ Low-Code Platform ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนา Application ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแต่ละโครงการนั้นมีความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของผลงานอย่างเต็มที่ ระบบเหล่านี้จะกำจัดงานด้านการเขียนโปรแกรมเชิงลึกออกไป รวมถึงยังลดปัญหาด้านความเข้ากันได้ของอุปกรณ์, การเพิ่มขยายระบบ และงานอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลามากซึ่งเคยต้องเผชิญในการพัฒนา Software แบบเดิม ทั้งหมดนี้ทำให้องค์กรมีเวลาและมีทรัพยากรในการสร้างสรรค์นวัตกรรมมากขึ้น และทำให้การทำ Digital Transformation เป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
#3: AI จะช่วยเสริมศักยภาพให้กับนักพัฒนาทั้งกลุ่มที่เขียนโค้ดและไม่เขียนโค้ด
AI นั้นกลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในการแข่งขันของธุรกิจในทุกวันนี้ รวมถึงในระบบ Low-Code ที่ AI สามารถช่วยในกระบวนการการพัฒนา Software ได้ด้วยเช่นกัน โดย AI นั้นจะช่วยให้นักพัฒนาทั้งแบบดั้งเดิมและแบบที่ไม่เขียนโปรแกรมสามารถเสริม AI เข้าไปในระบบ Application ได้อย่างมั่นใจ และไม่ต้องมีประสบการณ์ทางด้าน Data Science มาก่อน อีกทั้งยังทำให้นักพัฒนาแบบดั้งเดิมได้รับทราบความคิดเห็นและมุมมองทางด้านปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายในระบบ Application ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเชิงประสิทธิภาพและข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที สำหรับนักพัฒนาที่ไม่สามารถเขียนโปรแกรมได้นั้น AI จะช่วยแนะนำโดยการวิเคราะห์และนำเสนอแนวทางในระหว่างที่ทำการพัฒนาโปรแกรม นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยให้องค์กรทำงานแบบอัตโนมัติด้วยการสร้างระบบ Self-Service ที่ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบได้ด้วยข้อความหรือเสียงได้ ทำให้การให้บริการลูกค้าและการนำเสนอรบริการอื่นๆ ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น Chatbot ของธนาคารที่ถูกใช้ในการป้อนข้อมูลของลูกค้าโดยอัตโนมัติ เป็นต้น
#4: กลยุทธ์ด้าน Low-Code ในระดับองค์กรและระดับของฝ่าย IT จะเกิดขึ้น
ที่ผ่านมา การใช้งาน Low-Code นั้นมักเป็นไปในเชิงยุทธวิธี โดยแต่ละฝ่ายในธุรกิจนั้นอาจหันมาใช้ Low-Code Platform เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะทางบางประการ แต่เมื่อความต้องการนั้นมีความซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจองค์กรเหล่านี้ก็จะพบว่าระบบนั้นมีข้อจำกัดและไม่สามารถตอบสนองต่อทุกความต้องการของธุรกิจองค์กรได้
การนำกลยุทธ์ทางด้าน Low-Code มาใช้งานในระดับองค์กรนั้นจะเกิดขึ้นมาเพื่อให้การสร้างนวัตกรรมเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นในขณะที่ยังคงรักษามาตรฐานด้านคุณภาพ, ความมั่นคงปลอดภัย และการทำ Compliance ในระดับธุรกิจองค์กรได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ดี องค์กรควรจะต้องระมัดระวังว่าจะเริ่มต้นใช้กลยุทธ์ทางด้าน Low-Code อย่างไร และต้องรับรู้อยู่เสมอด้วยว่ารากฐานที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดก็คือระบบ Low-Code Platform ที่ถูกออกแบบมาสำหรับรองรับงานในระดับธุรกิจองค์กร ที่สามารถเพิ่มขยายและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงขององค์กรได้อยู่เสมอ
#5: ธุรกิจจะเริ่มวางใจใช้ Low-Code ในการสร้างระบบ Application สำคัญทางธุรกิจมากขึ้น
องค์กรจำนวนไม่น้อยได้เริ่มใช้ Low-Code Platform ในการสร้าง Application หลากหลายรูปแบบ แต่บางองค์กรก็ยังไม่กล้าที่จะใช้ Low-Code สำหรับระบบ Application สำคัญของธุรกิจองค์กรจากปัจจัยที่หลากหลาย เช่น ความสามารถในการเพิ่มขยาย, การบริหารจัดการงานต่างๆ และความสามารถด้านความมั่นคงปลอดภัย, การทำ Compliance และการรองรับธุรกรรมปริมาณมหาศาล
เราเข้าใจว่าการนำโซลูชันด้าน Low-Code มาใช้งานนั้นอาจน่ากลัวได้ในบางครั้ง อย่างไรก็ดี องค์กรควรจะต้องถามว่าระบบ Low-Code Platform ที่มีแผนในการนำมาใช้งานนั้นจะสามารถรองรับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยต้องมีการตรวจสอบความสำเร็จของลูกค้าที่ผ่านมาในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่กังวลและการยืนยันให้ชัดเจนถึงความสามารถของระบบเพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบจะสามารถตอบรับต่อความต้องการขององค์กรได้เป็นอย่างดี
โดยสรุปแล้ว Low-Code สามารถช่วยให้ธุรกิจองค์กรตอบรับต่อความต้องการในการเขียนโปรแกรมและการพัฒนา Software ได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยลดภาระอันใหญ่หลวงที่มักจะมาพร้อมกับการพัฒนาโปรแกรมเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม ทำให้การพัฒนา Software นั้นกลายเป็นงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ความสามารถเหล่านี้เองที่ทำให้ Low-Code Platform กลายเป็นระบบที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนา Application เมื่อธุรกิจองค์กรนั้นเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่อง
คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดรายงาน InfoBrief ฉบับเต็ม สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานฉบับนี้หรือ OutSystems กรุณาติดต่อคุณ Penny ที่ปรึกษาของเราได้ที่ penny.khaonongbua@outsystems.com, Mobile/Line: 0896626597 หรือติดต่อผ่านพันธมิตรทางธุรกิจของเราในประเทศไทยได้ที่ https://www.outsystems.com/partners/list/
นอกจากนี้ เรายังเปิดรับพันธมิตรใหม่ในโครงการ OutSystems Partner Program เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศด้าน Low-Code ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยอีกด้วย