ทางทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสไปพูดคุยอัพเดตเทรนด์ต่างๆ ทางด้าน Enterprise IT จาก Alcatel-Lucent ในทีม Enterprise และได้รับข้อมูลที่น่าสนใจจากผู้ผลิตสัญชาติยุโรปรายนี้มามากมายผ่านการสัมภาษณ์คุณ Damien Delard ผู้ดำรงตำแหน่ง Vice President Enterprise Business South-East Asia, คุณ Amit Raj Bathla ผู้ดำรงตำแหน่ง Director & Head of Marketing APAC และคุณสาธิต พันธ์ไพศาล ผู้ดำรงตำแหน่ง Country Manager Enterprise ประจำประเทศไทยแห่ง Alcatel-Lucent Enterprise จึงขอสรุปข้อมูลคร่าวๆ เอาไว้ดังนี้ครับ
ทิศทางและแนวโน้มการเติบโตของตลาด Enterprise IT
Internet of Things ยังคงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกในระยะยาว โดยในปี 2007 ตลาดของ IoT ทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 6.3 Billion USD ส่วนในปี 2015 นี้คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 21 Billion USD และในปี 2020 คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นไปอีกกว่า 2 เท่าเป็นมูลค่ารวม 45 Billion USD ส่วนภายในประเทศไทย ปีนี้ตลาดของ IoT ควรจะเติบโตขึ้นไปอีก 10%
และด้วยการมาของ Internet of Things นี้เอง ก็จะทำให้ระบบเครือข่ายถูกใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ด้วยการมีปริมาณข้อมูลของ Machine Data ที่เกิดจาก Sensor เหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และมีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากระบบเครือข่ายในปัจจุบัน ซึ่ง Internet Service Provider (ISP) และองค์กรเองก็ต้องเตรียมระบบเครือข่ายให้มีความพร้อมสำหรับความต้องการในลักษณะนี้
ทางด้าน Alcatel-Lucent เองได้มองถึงทิศทางอนาคตของระบบเครือข่ายดังต่อไปนี้
1. เทคโนโลยี Software Defined Network จะเป็นตัวช่วยให้ระบบเครือข่ายที่มี Traffic หลากหลายรูปแบบ สามารถใช้งานได้คุ้มค่าสูงสุด และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการลงได้ โดยในสถานการณ์ปัจจุบันที่เทคโนโลยี SDN สำหรับ Data Center ยังมีการแข่งขันกันระหว่างเทคโนโลยีหลายค่าย ทาง Alcatel-Lucent Enterprise ได้มุ่งไปที่การพัฒนา SDN ภายใต้ชื่อของ Intelligent Fabric สำหรับ Edge Switch ให้รองรับผู้ผลิตหลายค่ายได้ก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายของ Data Center หรือ Campus Network เองต่างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และการเริ่มต้นจาก Campus Network ที่ระดับของ Edge Switch เองก็ตอบโจทย์องค์กรได้อย่างครอบคลุมด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก และเห็นผลตอบแทนได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ระบบ Network Analytics เองก็จะเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย และการแก้ไขปัญหา รวมถึงการทำงานร่วมกันได้ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายจากหลายผู้ผลิต ซึ่งทาง Alcatel-Lucent Enterprise ก็ได้มีระบบ Network Analytics เพื่อตอบโจทย์ลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน
2. Wi-Fi เองจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยเปลี่ยนแปลงระบบเครือข่ายของทั้งวงการ โดยการมาของ 802.11ac จะทำให้ระบบเครือข่ายขององค์กรต้องปรับเปลี่ยนเพิ่ม Bandwidth ให้รองรับการใช้งานได้มากขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่ระบบเครือข่ายความเร็ว 10/40/100Gbps
3. การใช้งานอุปกรณ์พกพาจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายเพื่อทำงานได้จากทุกที่จะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับองค์กร โดย BYOD จะถูกต่อยอดทางด้าน Productivity เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากเดิมที่ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัย ตอนนี้ได้เวลาของการมองที่ระดับการใช้งาน และระบบเครือข่ายที่จะรองรับการใช้งาน BYOD ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นแทน
4. Unified Communication & Collaboration จะกลายเป็นรูปแบบของ Cloud มากขึ้น โดยการที่โซลูชั่นต่างๆ เหล่านี้กลายเป็น Cloud ไปก็จะทำให้องค์กรสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของการติดต่อสื่อสารลงได้เป็นอย่างดี ในขณะที่การเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไปยังบริการ Cloud ก็จะมีความท้าทายมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน
5. ธุรกิจ Service จะสร้างรายได้สูงกว่า Product ดังนั้นรูปแบบการทำธุรกิจหรือให้บริการต่างๆ ก็จะต้องมีการปรับตัวหรือเริ่มทะยอยปรับตัวกันได้แล้ว
6. องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมรับกับการมาของเทรนด์ต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นฝ่าย IT ของทุกองค์กรก็ควรเริ่มที่จะศึกษาและพิจารณารูปแบบและกลยุทธ์ทางด้าน IT ขององค์กรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ได้แล้ว
7. ระบบเครือข่ายของธุรกิจ SMB จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อรองรับบริการจาก Cloud เป็นหลัก และ Alcatel-Lucent เองก็มีแผนที่จะเปิดตัวระบบเครือข่ายสำหรับ SMB โดยเฉพาะในแบบ Cloud Ready เร็วๆ นี้
ข่าวการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการเข้าซื้อกิจการ Alcatel-Lucent โดย Nokia นั้น แทบไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ Enterprise ของ Alcaltel-Lucent เลย เพราะทีม Alcatel-Lucent Enterprise นี้ถูกแยกบริษัทออกมาจาก Alcatel-Lucent Group ที่ Nokia ซื้อไป และ Alcatel-Lucent Group ก็ถือหุ้นตรงนี้อยู่เพียง 15% เท่านั้น
สำหรับหุ้น 85% ที่เหลือ ก็มีนักลงทุนต่างๆ ทั่วโลกมาทำการลงทุนเข้ากับ Alcatel-Lucent Enterprise โดยหนึ่งในกลุ่มของนักลงทุนที่น่าสนใจนั้นมาจากประเทศจีน เนื่องจากจีนเองมีความต้องการที่จะขยายธุรกิจไปยังยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักของ Alcatel-Lucent Enterprise ในขณะที่ Alcatel-Lucent Enterprise เองก็จะได้เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศจีนด้วยเช่นกัน โดยการดำเนินงานและการวางกลยุทธ์ทั้งหมดจะยังมาจาก Headquarter ที่ยุโรป เพื่อมุ่งเน้นการสร้างเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์สำหรับฐานลูกค้ากว่า 60% ที่ยังอยู่ในยุโรปเป็นหลักอยู่
ส่วนการเข้าซื้อกิจการระหว่าง HP และ Aruba Networks นั้นก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อ Alcatel-Lucent Enterprise เพราะความสัมพันธ์ในฐานะคู่ค้ายังคงเหนียวแน่นกันอยู่ และ Alcatel-Lucent Enterprise เองก็จะยัง OEM Aruba Networks ต่อไป ลูกค้าจึงสบายใจได้ แต่ในขณะเดียวกันด้วยเทคโนโลยี SDN ที่พัฒนาขึ้นมา ก็จะช่วยให้ระบบเครือข่ายมีความเปิดกว้างมากขึ้น ไม่ติดกับยี่ห้อของผู้ผลิตระบบเครือข่ายค่ายใดค่ายหนึ่งมากเกินไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในทิศทางหลักของ Alcetel-Lucent Enterprise หลังจากนี้
สรุปทิศทางในปีนี้
ในมุมขององค์กร 3 เทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจสูงสุดก็ยังคงเป็น Internet of Things (IoT), Software Defined Network (SDN) และ Big Data Analytics ซึ่งในมุมของ Alcatel-Lucent Enterprise เองก็จะมุ่งไปที่การเตรียมความพร้อมของระบบเครือข่ายผ่านแนวคิดของ Unified Access ให้ทุกคนและทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายได้อย่างครอบคลุม, Intelligent Fabric เพื่อรองรับการทำ Automation สำหรับรับมือกับระบบเครือข่ายที่ซับซ้อน โดย Alcatel-Lucent Enterprise เพิ่งได้รับรางวัลมาจากงาน Interop ครั้งล่าสุดด้วย และ Network Analytics ที่จะช่วยให้การดูแลรักษาและจัดการปัญหาต่างๆ ในระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนนี้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
สำหรับในประเทศไทย Alcatel-Lucent Enterprise ได้เพิ่มจำนวนพนักงานขึ้นมาเพื่อเตรียมขยายตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น และในอนาคตเองก็มีแผนว่าจะนำระบบ Cloud Unified Communication & Collaboration เข้ามาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับองค์กรในประเทศไทยเช่นกัน
ผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อ Partner ของ Alcatel-Lucent ทั่วประเทศไทยได้ทันที หรือสามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ http://enterprise.alcatel-lucent.com/ โดยตรง