ปัจจุบัน AI และ Machine Learning นั้นไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อีกต่อไป และธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมต้องมีความตื่นตัวที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้งานเพื่อสร้างประสิทธิภาพที่ทัดเทียมกับธุรกิจคู่แข่งทั่วโลก ทำไมต้องใช้งาน AI? พนักงานในปัจจุบันจะถูกแทนที่หรือไม่ ติดตามความคิดเห็นของ ดร. พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการ DPU X มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, นายกสมาคม Thailand Tech Startup Association และ CEO บริษัท ZTRUS ได้ในบทความนี้
วิวัฒนาการของ AI และ Machine Learning
AI และ Machine Learning นั้นแท้จริงแล้วเป็นแนวคิดที่มีมาแล้วมากกว่า 60 ปี ในระยะเริ่มแรกเทคโนโลยีดังกล่าวมีความซับซ้อนน้อยและทำงานได้ไม่หลากหลายนัก แต่ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการประมวลผลและฮาร์ดแวร์ที่รองรับการใช้งาน AI มากขึ้น ทำให้ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ AI และ Machine Learning ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในธุรกิจ
ในช่วงปี 2015 เป็นต้นมา AI ถูกหยิบขึ้นมาใช้งานในธุรกิจกันมากขึ้น ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า เราได้เห็นเทคโนโลยี AI ใหม่ๆมากมายในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่าง Siri จาก Apple, Alexa จาก Amazon หรือ Google Assistant จาก Google, ระบบแนะนำสินค้าและบริการต่างๆ เช่น Recommendation จาก Netflix หรือในร้านค้าออนไลน์ รวมไปถึงเทคโนโลยี Deep Learning ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งมากกว่าเก่า และถูกนำไปใช้ในงานวิจัยต่างๆ เช่น Alpha Go ที่สามารถเล่นโกะและแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ หรืองานวิจัยด้านการประมวลผลภาษาต่างๆ
จนกระทั่งในปัจจุบัน ดร.พณชิตมองว่าการใช้ AI และ ML ในธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป อีกทั้งยังเป็นยิ่งที่ธุรกิจในทุกๆอุตสาหกรรมควรนำมาใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระการทำงานของมนุษย์
“ต้องเข้าใจว่า AI จะเข้ามามีบทบาทอยู่ในทุกอุตสาหกรรม 5-6 ปีที่แล้วใครมี AI ถือว่าได้เปรียบกว่าคู่แข่ง แต่ปัจจุบันใครไม่มี AI โอกาสรอดต่ำ”
AI ใช้งานได้ทุกอุตสาหกรรม ขึ้นอยู่กับว่าจะนำมาใช้งานในส่วนใด
จากมุมมองของ ดร.พณชิต เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นมีการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย และทุกอุตสาหกรรมก็สามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของเทคโนโลยีนี้ได้ โดย AI จะเข้าไปช่วยในกระบวนการทำงานด้านต่างๆขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการเชื่อมต่อเครื่องจักร การผลิต การเงินและการบัญชี การจัดการคลังสินค้า
รูปแบบงานที่นิยมใช้ AI เข้ามาช่วยในปัจจุบันนั้น คุณพณชิตกล่าวว่ามักจะเป็นงานที่ต้องทำซ้ำๆและสม่ำเสมอ เช่น งานกรอกข้อมูลเอกสาร หรืองานเคลื่อนที่สินค้าไปกลับในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ โดยงานประเภทนี้หากใช้มนุษย์ทำจะสิ้นเปลืองเวลาทำงานของบุคลากรที่มีทักษะสูงและสามารถทำงานอื่นๆที่ AI ยังทำได้ไม่ดี
ตัวอย่างหนึ่งของการนำ AI เข้าไปใช้งาน คือระบบบัญชีของ บริษัท แอ็คโคเมท จำกัด ซึ่งในการทำงานต้องมีการอ่านใบเสร็จและป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบและตรวจสอบให้มีความถูกต้อง ซึ่งเมื่อใช้ AI เข้ามาช่วยก็สามารถจะทำการอ่านข้อมูลจากใบเสร็จและกรอกลงระบบได้อย่างอัตโนมัติ นักบัญชีที่มีความสามารถในการทำงานอื่นๆก็สามารถประหยัดเวลา นำเวลาไปทำงานอย่างอื่นได้ อีกทั้ง AI ยังมีความรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยย่นระยะเวลาในการทำงานและลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจได้อีกด้วย
AI ทำงานได้ดี แต่ยังมีข้อจำกัด
ถึงแม้ AI และ Machine Learning ในปัจจุบันจะสามารถทำงานได้เป็นอย่างดีในหลายด้าน แต่ก็ยังมีงานอีกหลายด้านที่ AI ยังไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ และงานหลายประเภทก็ต้องการผู้ทำงานที่เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลรอบด้านมากกว่า ดังนั้นดร.พณชิตจึงเชื่อว่าพนักงานที่เป็นมนุษย์ไม่ควรกลัวการเข้ามาของ AI และต้องรู้จักนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงานในธุรกิจ
ข้อจำกัดหนึ่งของ AI คือความรับผิดชอบต่อเนื้อหางาน และความเข้าใจในเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ธุรกิจต้องวางแผนในการใช้งานและโยกย้ายมนุษย์ไปทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถและจุดเด่นของมนุษย์ เช่น งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ หรืองานบริหารจัดการ
“มนุษย์ต่างก็ไม่สามารถทำงานได้แม่นยำ 100% แต่สิ่งที่มนุษย์มีคือ ‘ความเชื่อใจ’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ AI ที่มาจาก Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถสร้างขึ้นได้ แต่ Artificial Responsibility หรือความรับผิดชอบแบบประดิษฐ์ ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ เพราะความรับผิดชอบเกิดจากจิตใจมนุษย์เท่านั้น”
โดยเมื่อธุรกิจเข้าใจถึงจุดแข็งและข้อจำกัดของทั้ง AI และพนักงาน ก็จะสามารถจัดสรรรูปแบบงานให้ผู้ทำงานแต่ละฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพของการทำงานและเพิ่ม Productivity ในระยะยาวให้กับองค์กร
ดร.พณชิตกล่าวทิ้งท้ายว่าการทำความเข้าใจและเปิดรับเทคโนโลยี AI และ Machine Learning นั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตไปในอนาคตและไม่ตกขบวนธุรกิจในยุคดิจิทัลแน่นอน
อ่านความคิดเห็นของดร.พณชิต กิตติปัญญางาม เพิ่มเติมได้ที่ https://www.jrit-ichi.com/cutting/2022/07/20/1221/