ปัจจุบันภาพของ Edge ในระดับองค์กรไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้อุปกรณ์ Edge มีฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละธุรกิจทั้ง IoT หรือการรองรับนโยบาย BYOD อย่างไรก็ดีระบบติดตามแบบ Traditional ไม่สามารถแสดงภาพของการเชื่อมต่อจาก Edge ไปสู่คลาวด์ได้ ซึ่งองค์กรควรจะมองเห็นการเคลื่อนไหวทราฟฟิคตั้งแต่ต้นทางสู่ปลายทาง แต่ทีมไอทีจำเป็นสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานอย่างมีนัยสำคัญเพราะต้องทำ Manual Config ด้วยเหตุนี้เองเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวทาง VMware เชื่อว่าโซลูชันที่ดี จะต้องไม่มีข้อจำกัดในแต่ละภาคส่วนเช่นที่แล้วมา และต้องทำให้การปฏิบัติการเป็นไปได้อย่างอัตโนมัติเพื่อตอบสนองได้อย่างทันท่วงที จึงเป็นที่มาของหัวสัมมนาออนไลน์ในครั้งนี้ โดยทีมงาน TechTalkthai ได้สรุปมุมมองและสาระสำคัญมาให้ทุกท่านได้ติดตามกันครับ
Gartner คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ อุปกรณ์ที่ประมวลฝั่งปลายทางหรือ Edge จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ต้องมีคุณสมบัติที่เป็น Mobility หรือเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา กล่าวได้ว่าอุปกรณ์ต้องพึ่งพาสัญญาณไร้สายเป็นหลักเช่น ในฝั่งของธุรกิจโลจิสติกส์อุปกรณ์สแกนบาร์โค้ดจะต้องเคลื่อนที่ไปมา หรืออุปกรณ์ IoT ในโรงพยาบาลเป็นต้น อย่างไรก็ดีกว่าที่ทราฟฟิคจะผ่านไปถึงคลาวด์ต้องผ่านจุดต่างๆ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้หากเรายังใช้โซลูชันเดิมๆ โดยนอกจากโซลูชัน VMware SD-WAN by VeloCloud ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาแล้ว องค์กรยังสามารถต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพด้วยโซลูชันที่ชื่อว่า Edge Network Intelligence (ENI)

VMware SD-WAN & ENI Solution
ปัญหากวนใจของหลายๆ บริษัทคือแม้ลงทุนกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการมอนิเตอร์มากมาย แต่ทำไมเวลามีปัญหาถึงแก้ไขได้ช้า หาสาเหตุปัญหาได้ช้า สุดท้ายจบด้วยการชี้นิ้วโยนความผิดให้กันระหว่างทีม ทำให้องค์กรได้รับผลกระทบมากมาย ไม่ว่าเวลาที่เสียไป ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแต่ไม่มีสิ่งใดตอบสนองได้ดี

ทั้งนี้ก็เพราะองค์กรไม่สามารถบูรณาการเครื่องมือการ Monitoring ทรัพยากรในแต่ละเลเยอร์หรือสภาพแวดล้อมของการทำงานจาก สาขา ดาต้าเซนเตอร์ การทำงานจากที่บ้าน หรือทราฟฟิคระดับเครือข่ายและแอปพลิเคชัน โดยอันที่จริงแล้วความต้องการขององค์กรมี 4 ด้านดังนี้
- User – หากผู้ใช้งานเกิดปัญหาจะให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งก่อนอื่นองค์กรจะต้องจำกัดปัญหาให้ได้ก่อนว่าเกิดช่วงเวลาใด
- ผู้ปฏิบัติการระบบเครือข่าย (Network Operation) – ต้องการเครื่องมือที่สามารถบอกได้ว่าต้นตอปัญหาเกิดขึ้น ณ จุดใด เพราะอะไร เช่น ในสถานการณ์ว่ามีการทำ Change ระบบก่อนกับหลังมีประสิทธิภาพการใช้งานอะไรผิดปกติ
- วิศวกรเครือข่าย (Network Engineer) – ต้องการเครื่องมือที่สามารถช่วยบอกปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น (Proactive) และต้อง Optimize การตั้งค่าได้อย่างเหมาะสม หรือถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วต้องทราบวิธีการแก้ไขและทำได้อย่างรวดเร็ว
- ผู้บริหาร – ต้องการเครื่องมือที่สามารถออก Report ได้ระดับรายแอปพลิเคชันว่ามีการใช้งานส่วนไหนมากที่สุด ประสิทธิภาพยังปกติดีหรือไม่ แนวโน้มการใช้งานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
VMware ได้เข้าซื้อกิจการ Nyansa ผู้นำเสนอโซลูชัน ENI เข้ามาผนวกภายในทีมงานของ SD-WAN Velocloud โดยโซลูชัน ENI จาก Nyansa มีชื่อผลิตภัณฑ์ว่า Voyance ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วนดังนี้ Voyance Crawler หรือตัวดูดข้อมูลที่เป็น Appliance หรือ VM ที่ตั้งอยู่ในฝั่งผู้ใช้งานและรวบรวมข้อมูล SNMP มาจากส่วนต่างๆ ที่รองรับแหล่งข้อมูลได้จาก Wi-Fi Controller, อุปกรณ์ Switch ที่ทำ SPAN มาให้, WAN NetFlow, Cisco UCM, FreeRadius และอื่นๆ จากนั้นเมื่อรวมรวมข้อมูลมาได้แล้วก็จะส่งไปวิเคราะห์ต่อด้วย AI/ML บนคลาวด์ด้วย Voyance PCA (Private or Public Cloud Analytics Engine) เพื่อสร้างเป็น Dashboard แสดงภาพทราฟฟิคในองค์กร นอกจากนี้ VMware ENI ยังสามารถทำงานร่วม IT Management Tool ชื่อดังอย่าง Service Now ได้อีกด้วย

VMware SD-WAN และ ENI ได้นำความสามารถของ AIOps (Artificial Intelligence for IT Operation) และ ML (Machine Learning) มาช่วย ทำให้สามารถมอนิเตอร์ Infrastructure ได้แบบ end-to-end ช่วยให้เราสามารถปฏิบัติการแบบ Proactive ได้มากกว่าเดิม (ภาพประกอบด้านล่าง)

VMware SD-WAN จะคอยเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างส่วนต่างๆเข้าหากัน ส่วน ENI จะเป็นโซลูชันด้านซอฟต์แวร์ที่รวบข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ให้องค์กรสามารถมองเห็นภาพการทำงานของ อุปกรณ์ ผู้ใช้งาน ว่าประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน และควรแก้ไขอย่างไร โดย Dashboard จาก Cloud ของผู้ใช้งานจะถูกนำไปแสดงผ่าน Orchrestrator UI for Voyance เพื่อบริหารจัดการโซลูชัน ENI ได้ ซึ่งผู้ใช้งานที่ใช้ SD-WAN และมี Edge Appliance อยู่แล้วสามารถเพิ่ม License ของ ENI เพื่อเริ่มต้นใช้โซลูชันได้ทันที อย่างไรก็ดีหากลูกค้าสนใจเพียง ENI แต่ไม่ต้องการใช้ VMware SD-WAN ก็สามารถใช้งานแยกกันได้เช่นกัน
การใช้งาน VMware SD-WAN และ ENI ในกรณีต่างๆ
เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่าโซลูชันใหม่นี้จะเข้ามาช่วยองค์กรของท่านได้อย่างไร เราขอหยิบยก 3 กรณีเพื่อให้เห็นประโยชน์การใช้งานดังนี้
1.) Application Assurance
การทำงานขององค์กรสมัยใหม่อยู่ในรูปแบบของ Mobile ที่วิ่งเข้ามาผ่าน AP เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมีการให้บริการเครือข่ายหลายทางทั้ง Wired, Wireless และมีการออกไปยัง Multi-cloud แต่หากเลือกได้องค์กรคงต้องการความสามารถป้องกันปัญหาแบบเชิงรุก (Proactive) ดีกว่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยตามแก้ ในขณะที่เครื่องมือแบบเก่ายังทำงานร่วมกันไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่า Report ที่ออกมาจึงมองไม่เห็นภาพรวมและเกิดกำแพงในการทำงานระหว่างทีมต่างๆในองค์กร

จากภาพประกอบด้านบน จะเห็นได้ว่าสีเหลี่ยมสีเขียวคือความสามารถของ SD-WAN เดิม นั่นคือการเข้าใจทราฟฟิคของแอปพลิเคชันต่างๆ และสามารถจัดทำรายงานได้ โดยสิ่งที่ ENI เข้ามาต่อเติมความสามารถของ Monitoring ให้สมบูรณ์ก็คือการความเข้าใจและความสามารถติดตามแต่ละแอปพลิเคชันในระดับ Flow, ผู้ใช้งาน และแสดงประสิทธิภาพการทำงานได้ รวมถึงสามารถทำ Baseline เพื่ออ้างอิงไว้ก่อน หากกรณีมีการทำ Change จะได้ทราบว่าต้นตอเกิดปัญหาจากอะไร (Fault Isolation) และสามารถแนะนำการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว (Recommend) สุดท้ายผู้ใช้จะมีเครื่องมือที่สามารถค้นหาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือดูภาพรวมการทำงานได้
2.) Fault Isolation & Recommendation
หลายครั้งปัญหาการใช้งานไม่สามารถแก้ไขได้และบานปลายจนเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างทีมต่างๆ โดยเฉพาะทีมแอปพลิเคชันและผู้ดูแลระบบเครือข่าย ก็เนื่องมาจากว่าทั้งสองต่างมีเครื่องมือ Monitor ในมุมมองของตนแต่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ด้วยเหตุนี้เอง ENI จึงก้าวเข้ามาแก้ปัญหานี้เพราะสามารถรองรับข้อมูลทั้งในระดับแอปพลิเคชันและเครือข่าย ซึ่งเมื่อประกอบเข้ากับ VMware SD-WAN ที่อยู่ตรงกลางของการส่งข้อมูลทั้งหมดจึงมั่นใจได้ว่าผู้ดูแลจะมองเห็นทราฟฟิคอย่างไม่ตกหล่น ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างตรวจจุดและรวดเร็ว

3.) Business Continuity & Client App Troubleshooting for Distribute Workforce
ในกรณีขององค์กรที่มีพนักงานทำงานจากที่บ้านหรือ Work from Home ปัญหาที่เกิดขึ้นคือองค์กรจะรู้ได้อย่างไรว่า รายการการใช้งานที่ปรากฏใน Log นั้นมาจากอุปกรณ์ทางไกล หรือจะมองปัญหากลับไปยัง End-user ได้อย่างไรเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุด ซึ่งในโซลูชัน VMware ENI สามารถทำได้โดยการติดตั้ง Agent ไว้ที่เครื่องของ Client จึงสามารถมองเห็นไปยังเครื่องและแก้ปัญหาที่ฝั่งปลายทางได้ ตามภาพประกอบด้านล่างคือ Agent จะสามารถทราบถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ว่ามีการเชื่อมต่อผ่านมาทางไหนและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่าหากแอปพลิเคชันจะมีใครได้รับผลกระทบ หรือองค์ประกอบใดกันแน่ที่มีปัญหา

สรุป
VMware Edge Network Intelligence (ENI) ก็คือโซลูชันใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวมาหลังการเข้าซื้อกิจการ Nyansa ซึ่งไอเดียของโซลูชันก็คือการรวบรวมข้อมูลมาจากเครือข่ายปลายทางต่างๆ และนำมาวิเคราะห์บนคลาวด์ ซึ่งเมื่อผนวกกับโซลูชัน SD-WAN ทำให้องค์กรมองเห็นภาพรวมการใช้งาน ผ่านเครื่องมือ Orchestrator เดิมๆ ของ SD-WAN ซึ่งไม่ต้องเปลี่ยน Experience การทำงาน (Web UI ที่ใช้บริหารจัดการ SD-WAN) และแก้ไขปัญหาในทุกเลเยอร์ได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ VMware ENI ยังสามารถต่อยอดจากโซลูชัน SD-WAN ที่มีอยู่ก่อนได้ง่ายๆ เพียงแค่เพิ่ม License ให้ Edge Appliance เท่านั้น มาถึงตรงนี้ท่านใดที่สนใจในโซลูชัน VMware SD-WAN และ ENI สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่ายของ VMware เพื่อเข้าไปให้คำปรึกษาแก่ท่านได้ทันที