NTT Communications ได้แถลงถึงแนวทางในการผลักดันประเทศไทยให้เป็น ASEAN Digital Hub แทนสิงคโปร์ด้วยการเชื่อมเคเบิลใต้น้ำตรงจากญี่ปุ่น พร้อมเผยความสำเร็จของการเปิด Bangkok 2 Data Center หรือเรียกชื่อว่า Nexcenter ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดและปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งในไทย ทำให้มีเหล่าลูกค้าองค์กรมากมายได้เข้ามาใช้งานทันทีหลังจากที่เปิดตัว
คุณมานาบุ คาฮาระ ประธานบริษัท NTT Communications (Thailand) ได้ออกมาให้ข้อมูลในภาพรวมของธุรกิจ NTT ว่าปัจจุบัน NTT มีรายรับรวมเกินกว่า 105,000 ล้านเหรียญทั่วโลก มีบริษัท 80% ใน Fortune 100 เป็นลูกค้า เครือข่ายครอบคลุม 196 ประเทศ มี 250+ Data Center และมีลูกค้าองค์กรเกินกว่า 10,000 รายแล้ว ทั้งนี้ NTT ยังมองด้วยว่าประเทศไทยจะเป็น ASEAN Digital Hub อย่างแน่นอนที่จะเชื่อมต่อโดยตรงจากญี่ปุ่นและขยายออกไปสู่อินเดีย, สิงคโปร์, ยุโรป และไกลไปยิ่งกว่านั้นในอนาคต และทาง NTT เองก็จะสนับสนุนการก้าวไปสู่การเป็น Digital Thailand ด้วยเช่นกัน โดยหลังจากที่เปิด Data Center ในไทยเพิ่มไปเมื่อปี 2015 ในปี 2016 นี้ก็ได้มีการขยายธุรกิจไปสู่เมียนมาร์เป็นที่เรียบร้อย
การก้าวไปสู่การเป็น ASEAN Digital Hub นี้ ทาง NTT ได้เริ่มต้นด้วยการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายประเทศไทยเข้ากับประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เมียนมาร์, กัมพูชา และลาวด้วยการขยายสาขาของ NTT ไปยังประเทศเหล่านั้น ซึ่งนอกจากจำนวนประชากรของไทยที่มากกว่าสิงคโปร์แล้ว การที่อาณาเขตอยู่ติดกับเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็เป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่หลวงเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ NTT ใช้ APG Submarine Cable ที่เชื่อมต่อจากญี่ปุ่นมาสิงคโปร์โดยตรง แต่ภายในปี 2016 จะมีการเชื่อมเครือ่ายตรงมายังสงขลาในประเทศไทย แล้วเชื่อมต่อมายัง Bangkok 1 DC และปี 2017 ก็จะเชื่อมต่อเครือข่ายจากเคเบิ้ลเหล่านี้ไปยังกัมพูชา ซึ่งจะเชื่อมต่อเข้ากับ Bangkok 2 DC ทำให้มีเส้นทางสำรองในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่หลากหลาย
Bangkok 2 DC หรือ Nexcenter นี้เป็น Data Center ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่อาคารขนาด 10,000 ตารางเมตร และรองรับตู้แร็คได้มากกว่า 1,400 ตู้ พร้อมระบบไฟฟ้าความทนทานสูงระดับ 100% และนโยบายการรักษาความปลอดภัยในมาตรฐานระดับโลก รองรับการให้บริการ Data Center และ Cloud สำหรับเหล่าองค์กรที่ต้องการมาตรฐานและความปลอดภัยในระดับสูง เช่น สถาบันการเงิน, ธุรกิจโรงงาน, องค์กรข้ามชาติ, หน่วยงานภาครัฐ และรองรับการให้บริการได้ทั้ง Private Cloud, Public Cloud และ Hybrid Cloud ได้อย่างครอบคลุม
NTT ยังได้อ้างถึง RightScale ซึ่งได้ออกผลสำรวจว่าปัจจุบัน 82% ขององค์กรทั่วโลกใช้บริการ Cloud จากหลายผู้ผลิต 15% ใช้บริการ Cloud จากผู้ให้บริการเพียงรายเดียวหรือใช้แต่ Private Cloud และอีกเพียง 3% เท่านั้นที่ยังไม่มีแผนจะใช้ Cloud เลย เป็นการชี้ให้เห็นว่าตลาด Cloud นั้นเป็นที่ต้องการขององค์กรเป็นอย่างมากในเวลานี้ ซึ่ง Cloud นั้นคือธุรกิจบริการอย่างแท้จริงที่จะมาช่วยให้องค์กรนั้นสามารถลดการ Operate งานในส่วน IT ลงไปได้เป็นอย่างมาก ซึ่งทาง NTT ก็มีบริการ Cloud ที่ครอบคลุมทั้งสำหรับ Oracle, SAP, SAP HANA, Microsoft Dynamics AX, PaaS และอื่นๆ อีกมากมายสำหรับตอบโจทย์ความต้องการในระดับองค์กร
คุณศานิต เกษมสันต์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการแผนกผลิตภัณฑ์และบริการแห่ง NTT Communications (Thailand) ยังได้ให้ข้อมูลเสริมอีกด้วยว่าการที่ประเทศไทยมีประชากรปริมาณมาก และมี Traffic ที่เชื่อมต่อไปยังบริการ Social Network อย่าง Facebook และ YouTube เป็นจำนวนมาก ทำให้ที่ผ่านมา Traffic ของไทยนั้นไปผลักดันให้สิงคโปร์ที่เป็น Hub มาก่อนเติบโต ทาง NTT นั้นมองว่าอยากจะให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมต่อไปยังบริการเหล่านั้นให้ได้รวดเร็วและเติบโตได้ด้วยตัวเองแทน ทำให้การลงทุนการเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำระหว่างญี่ปุ่นมายังไทยกลายเป็นโครงการที่ NTT จะผลักดันต่อไปจากนี้
ปัจจุบันราคาของ Internet ในไทยนั้นยังแพงกว่าสหรัฐอเมริการาวๆ 10 เท่า ในขณะที่สิงคโปร์นั้นมีราคาแพงกว่าสหรัฐเพียง 2 เท่า การย้าย Traffic ทั้งหมดให้มาผ่านประเทศไทยมากขึ้นนั้นจะทำให้ราคาของ Internet ในไทยถูกลงได้ในอนาคตตามหลักของ Economy of Scale
ความท้าทายในตอนนี้คือประเด็นทางด้านกฎหมายที่จะเปิดให้มีการลงทุนในลักษณะนี้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เพื่อให้การเติบโตของเคเบิลและ IT Infrastructure ในไทยนั้นดีเทียบเท่าหรือเหนือกว่าสิงคโปร์ในอนาคต และมีเจ้าของ Platform หรือ Content มาลงทุนในประเทศไทยเป็นก้าวถัดมา
สำหรับปี 2017 นี้ NTT มีแผนที่จะเปิดตัว Enterprise Cloud 2.0 ด้วยการใช้ OpenStack ที่รองรับทั้ง Virtualization และ Bare Metal Cloud ได้ในตัว พร้อมระบบ Software-Defined Networking, API, Customer Manager Portal รวมถึงการเชื่อมต่อไปบริหารจัดการบริการ Cloud อื่นๆ ได้ และจะเปิดตัว Backup as a Service เป็นบริการที่เสริมขึ้นมาจากเดิมเพื่อให้เหล่าองค์กรสามารถเลือกใช้งาน Cloud ได้อย่างยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง
80% ขององค์กรขนาดใหญ่นั้นเริ่มใช้งาน Big Data แล้ว ในขณะที่ SMB นั้นยังมีการใช้งานอยู่ที่ 63% ในปัจจุบัน การมาของ Cloud จะเป็นตัวเร่งให้กับตลาด Big Data ไปด้วยในตัว ส่วนแนวโน้มของการใช้ Hosted Private Cloud และ Hybrid Cloud นั้นจะเป็นกลุ่มที่เติบโตเป็นอย่างมากในอนาคต
กรณีศึกษาการนำเทคโนโลยีไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาธุรกิจ
แนวโน้มอีกส่วนที่น่าสนใจคือภายในปี 2018 หุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากขึ้น และจะกลายเป็นว่าหุ่นยนต์นั้นจะออกคำสั่งให้มนุษย์ทำงานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดถึง 3 ล้านคน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมที่จะต้องมีการใช้ระบบประมวลผลกันมากกว่าแต่ก่อน และนี่ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ IT Infrastructure อย่าง Cloud จะเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก
NTT ยังได้เล่าถึงการมาของ Internet of Things (IoT) อย่าง hitoe ที่เป็นเสื้อที่มี Sensor ฝังอยู่มากมาย เพื่อใช้ติดตามสุขภาพของพนักงานขณะปฏิบัติงานกลางแจ้งและคอยแจ้งเตือนหากมีแนวโน้มว่าพนักงานคนไทยอาจจะเกิดอันตราย ในขณะที่การนำ AI มาใช้เสริมเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของอุบัติเหตุหรือปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงานได้นั้นก็เป็นอีกเทคโนโลยีที่น่าสนใจ
สำหรับเทคโนโลยี Automated Cognitive Agent นั้นทาง NTT ก็มีการจับมือกับ Ipsoft ในการพัฒนา Amelia ระบบบอตที่เข้าใจน้ำเสียงและความหมายของบทสนทนากับผู้คน และนำไปใช้ในการให้บริการหรือถามตอบปัญหาได้ รวมถึงยังมีบริการ Oshiete!goo สำหรับถามตอบปัญหาทั่วๆ ไปในญี่ปุ่น และปรึกษาปัญหาด้านความรักได้ด้วย
ในแง่ของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการเกษตร ทาง Kubota ก็จับมือกับ NTT พัฒนา Self-Driving Machine สำหรับใช้ในการเกษตรโดยเฉพาะ ด้วยการรับข้อมูลจาก Drone ที่ถ่ายภาพมาทำการวิเคราะห์เส้นทางการเดินทางและการทำสิ่งต่างๆ โดยเริ่มพัฒนาในปี 2016 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2018
ส่วนในธุรกิจเหมือง Edgar Mine เองก็ได้จับมือกับ NTT เพื่อนำ IoT ไปใช้งานในเหมืองและควบคุมพัดลมดูดอากาศภายในเหมืองได้ตามเงื่อนไขที่ตรวจพบจาก Sensor ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก Raspberry Pi ก็ทำให้การทำงานในเหมืองมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
แนะนำ NTT Security กลุ่มธุรกิจด้านการรักษาความปลอดภัยจาก NTT
คุณเรย์มอนด์ เตียว รองประธานอาวุโส ส่วนการดำเนินงานเอเชียแปซิฟิกได้ออกมาเล่าถึง NTT Security ว่า เพราะทุกธุรกิจของ NTT นั้นเกี่ยวข้องกับข้อมูล การรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำคัญเหล่านั้นจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ และจะยิ่งสำคัญยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทุกอย่างในโลกเชื่อมต่อกันผ่าน Internet ภายใต้แนวคิด Internet of Things (IoT)
จากผลสำรวจของ NTT เองนั้นพบว่าไทยมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงเป็นอันดับ 5 ของโลกเลยทีเดียว ทำให้ NTT นั้นมองว่าการเข้ามาช่วยเสริมความปลอดภัยให้แก่เหล่าธุรกิจองค์กรและธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางในไทยนั้นเป็นงานสำคัญ
ปัจจุบัน NTT Security มีผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วโลก 1,500 คน ให้บริการองค์กรชั้นนำทั่วโลกกว่า 10,000 แห่งได้อย่างครบวงจรตั้งแต่การให้คำแนะนำ และการดูแลรักษาความปลอดภัย ครอบคลุมไปถึงทั้งการรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรและบริการ Cloud ทุกรูปแบบ โดย NTT Security นั้นมี SoC ทั่วโลกถึง 10 แห่งและศูนย์วิจัยด้านความปลอดภัยอีก 7 แห่ง, มีการวิเคราะห์ความปลอดภัยให้ Global Internet Traffic กว่า 40%, ตรวจจับการโจมตีได้ 6,200 ล้านครั้งต่อปี และวิเคราะห์ข้อมูล Log กว่า 3.5 ล้านล้านบรรทัดต่อปี