Microsoft ได้ร่วมกับ IDC จัดทำรายงานด้านเทรนด์ของการนำ AI มาใช้งานในธุรกิจไทย ทั้งในเชิงของแนวโน้มที่เหล่าผู้บริหารควรทราบ และยังได้ยกตัวอย่างการนำ AI มาใช้งานจริงในธุรกิจไทยโดย PTT Global Chemical ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอสรุปเนื้อหาเอาไว้ดังนี้ครับ
เผยเทรนด์การใช้ AI ในธุรกิจไทย เน้นก้าวที่เห็นผลเร็วก่อน ส่วนระยะยาวนั้นก็ยังมีโอกาสที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย
ในงานวิจัยร่วมกันระหว่าง Microsoft และ IDC ภายใต้หัวข้อ Future Ready Business: Assessing Asia Pacific’s Growth Potential Through AI นั้น ได้ชี้ถึงประเด็นที่น่าสนใจในแนวโน้มด้านการใช้ AI ของธุรกิจไทยเอาไว้หลายประเด็น โดยรายงานฉบับนี้ได้ทำการสำรวจจากองค์กรธุรกิจไทย 101 แห่งด้วยกัน
ในภาพรวมนั้น อัตราการนำ AI มาใช้ในธุรกิจไทยนั้นยังไม่สูงมากนัก โดยถึงแม้จะมีธุรกิจกว่า 85% ที่เข้าใจความสำคัญของการนำ AI มาใช้งานในธุรกิจ แต่ก็มีองค์กรเพียง 26% เท่านั้นที่ได้เริ่มนำ AI มาใช้จริงแล้ว โดยภายในปี 2021 นั้น AI จะช่วยเร่งให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในภาคธุรกิจไทยได้ถึง 66% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้อีก 32% และส่งผลให้ศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจนั้นสูงขึ้นถึง 81% เลยทีเดียว โดยปัจจุบันนี้ การนำ AI มาใช้ในธุรกิจจะแบ่งออกเป็น 5 กรณีการใช้งานหลักๆ ได้แก่
- การสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้า 31%
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 22%
- เพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจ 22%
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 9%
- เร่งสร้างนวัตกรรมให้เกิดรวดเร็วยิ่งขึ้น 8%
จะเห็นได้ว่าแนวโน้มของธุรกิจไทยนั้นยังเริ่มต้นกับการนำ AI มาใช้ในงานที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วเป็นก้าวแรกๆ กันก่อนเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาวแล้ว การนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และการเร่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ นั้นก็ถือเป็นประเด็นที่น่าจับตามองไม่น้อย โดย Microsoft ได้ออกมาระบุว่าในปัจจุบันนี้ การนำ AI เข้ามาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานนั้นสามารถทำได้ดีขึ้นราวๆ 31% และจะเพิ่มเป็น 41% ในปี 2021 ส่วนการนำ AI มาช่วยสร้างนวัตกรรใหม่ๆ นั้นจะเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้นไปอีก โดยในปัจจุบัน AI สามารถเพิ่มความเร็วได้ 32% และจะเพิ่มเป็น 53% ในปี 2021
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจและเป็นคำถามที่ถูกถามกันเป็นอย่างมากคือ “สุดท้ายแล้ว AI จะมาแย่งงานของมนุษย์หรือไม่?” ก็เป็นคำถามที่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนทีเดียว โดยในรายงานของ Microsoft และ IDC นั้นระบุว่าแนวโน้มของการนำ AI มาใช้งานนั้นไม่ใช่การนำ AI มาทดแทนมนุษย์ แต่เป็นการนำ AI มาเสริมความสามารถในการทำงานของมนุษย์ และทำให้การทำงานในอนาคตนั้นกลายเป็น Augment Jobs หรืองานที่ต้องทำร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ไป ทั้งในแง่ของการช่วยให้พนักงานสามารถทำงานที่เคยทำอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ ในแต่ละวันลงนั่นเอง
อย่างไรก็ดี การนำ AI มาใช้งานในธุรกิจนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากพนักงานที่มีทักษะ และวัฒนธรรมการทำงานที่ตอบรับต่องานในยุคสมัยใหม่ โดยถึงแม้ในการสำรวจจะพบว่า 77% ของผู้นำธุรกิจและ 58% ของพนักงานนั้นเชื่อมั่นว่า AI จะเข้ามาช่วยให้การทำงานนั้นดีขึ้นได้จริง ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่นั้นก็พร้อมที่จะพัฒนาทักษะของตนเองแล้ว และมีเพียงแค่ 18% ของพนักงานเท่านั้นที่ไม่มีความสนใจในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ เลย
ทั้งนี้เหล่าผู้นำธุรกิจในไทยที่พร้อมจะนำพาองค์กรไปสู่การใช้ AI เองนั้นก็ยังถือว่าขาดแคลน โดยทักษะที่ขาดแคลนที่สุดในยามนี้ได้แก่ การบริหารจัดการโครงการ, ความเป็นผู้นำและการจัดการบุคลากร และความคิดสร้างสรรค์
PTT Global Chemical นำร่อง ใช้ AI เพิ่มความปลอดภัยให้พนักงาน
PTT Global Chemical หรือ GC นั้น ได้ริเริ่มนำ AI เข้ามาใช้ในธุรกิจของตนเองโดยเริ่มจากการนำ AI มาเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงานเป็นอันดับแรก เนื่องจากธุรกิจของ GC นั้นมีสาขาทั้งในกรุงเทพมหานครและระยอง ทำให้พนักงานต้องเดินทางไปกลับด้วยรถตู้ของบริษัทเป็นประจำ ในขณะที่อัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนของไทยนั้นก็สูงมากถึง 66 คนต่อวัน การเสริมความปลอดภัยให้กับชีวิตของพนักงานทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารนี้จึงถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยต่อธุรกิจของ GC
โครงการ AI ที่ GC เริ่มต้นนำมาใช้งานนั้นก็คือโครงการ AI for Road Safety โดย GC ได้ร่วมมือกับ Frontis นำ AI ของ Microsoft มาใช้วิเคราะห์ภาพวิดีโอจากกล้องที่ติดไว้เพื่อจับภาพคนขับรถตู้ และข้อมูล GPS จากบนรถตู้ เพื่อทำการประมวลผลว่าผู้ขับขี่นั้นมีความพร้อมในการขับขี่ยานพาหนะมากน้อยแค่ไหน ด้วยการตรวจสอบว่าเกิดการหลับตานานๆ, ตาปรือง่วงนอน, หาว, ผงกหัว, ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ หรือมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการขับขี่หรือไม่ และทำเป็นรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ GC สามารถตัดสินใจได้ว่าควรส่งพนักงานขับรถคนใหม่ไปปฏิบัติงานแทนหรือไม่ และควรปรับเปลี่ยนแผนการเดินรถอย่างไรได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ GC ยังได้นำข้อมูลที่แสดงผลบน Dashboard ของ Microsoft Power BI ไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การวิเคราะห์ศักยภาพของพนักงานขับรถตู้แต่ละคน, ปัจจัยเสี่ยงที่ควรต้องระวังเพิ่มเติมในอนาคต เป็นต้น รวมถึงยังได้มีการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการปรับหลักสูตรฝึกอบรมผู้ขับขี่ ให้มีความครอบคลุมและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ถึงแม้โครงการนี้จะไม่ใช่การนำ AI ไปใช้กับงานทางด้านเคมีซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจ GC โดยตรง แต่การนำ AI มาใช้ในประเด็นซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของพนักงานเป็นวงกว้างนี้ก็ถือว่าสามารถสร้างผลกระทบได้ไม่น้อย โดยเป้าหมายสูงสุดของ GC นั้นก็คือการทำให้ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่ของ GC อีกเลย
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันทางด้าน AI ของ Microsoft เพิ่มเติมได้ที่ https://news.microsoft.com/apac/features/artificial-intelligence/