เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา 4G LTE-Advanced ได้เริ่มให้บริการครั้งแรกที่ประเทศเกาหลีใต้ ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 300 Mbps แต่ในตอนนี้เทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรือโน๊ตบุ๊ค สามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายแบบ 4G ได้ด้วยความเร็วที่สูงกว่า LTE เดิม (100 Mbps)
LTE-Advanced เป็นการรวมตัวกันของเทคโนโลยีหลายรูปแบบ แต่ Mobile Operator เจ้าแรกที่พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Carrier Aggregation ซึ่งช่วยให้ Mobile Operator สามารถส่งข้อมูลบนย่านความถี่ที่แตกต่างกันได้ถึง 3 ย่านพร้อมกัน เสมือนส่งข้อมูลบนย่านความถี่เดียว
ความเร็วสูงสุดที่ใช้สูงสุดในปัจจุบัน คือ 300 Mbps แต่ไม่ใช่ทุกเครือข่ายของ LTE-Advanced และอุปกรณ์สามารถใช้ความเร็วสูงสุดนี้ได้ เนื่องจากการออกแบบความกว้างของช่องสัญญาณ (ดูรายละเอียดได้ที่ LTE Advanced ความเร็ว 450 Mbps พร้อมให้บริการปีหน้า) เช่น iPhone 6 สามารถใช้เทคโนโลยี Carrier Aggregation ได้สูงสุดที่ 150 Mbps เท่านั้น และบาง Mobile Operator ในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปก็ยังไม่รองรับความเร็วสูงสุดดังกล่าว
ถึงแม้ว่าข้อจำกัดของ LTE-Advanced จะเป็นเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้งาน ต้องขอบคุณ Qualcomm และ Intel ที่พัฒนา Chipset ที่รองรับเทคโนโลยีดังกล่าวในราคาที่ไม่แพงมากนัก นั่นคือ Snapdragon 210 ที่จะมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนระดับ Entry ในปี 2015 นี้
จากรายงานของ GSA (Global mobile Supplier Association) ระบุว่า ปัจจุบันนี้มี 31 ประเทศที่รองรับการใช้งานเทคโนโลยี 4G LTE-Advanced เช่น ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา เป็นต้น นอกจากนี้ 107 Mobile Operators จาก 54 ประเทศทั่วโลกก็กำลังพัฒนาระบบ LTE-Advanced ของตนเองอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน (คิดเป็น 30% ของ Operator ที่ใช้งานเทคโนโลยี LTE อยู่)
