สำหรับธุรกิจและองค์กรต่างๆ ที่เริ่มมีการติดตั้งอุปกรณ์ IT ภายในองค์กรเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเริ่มพบปัญหาในการเดินระบบไฟฟ้าและการใช้งานปลั๊กไฟที่เริ่มจะไม่เพียงพอและกลายเป็นอีกปัญหาในการออกแบบระบบ IT ต่างๆ เทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกออกแบบมาแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะก็คือ PoE และ PoE+ ที่เป็นที่แพร่หลายมานานแล้วในระบบเครือข่ายขององค์กร และเริ่มถูกนำมาใช้งานในธุรกิจขนาดเล็กหรือตามบ้านกันบ้างแล้ว ซึ่งเราจะมาแนะนำให้รู้จักเทคโนโลยีนี้กันอย่างรวดเร็วในบทความนี้ครับ
รู้จักเทคโนโลยี Power over Ethernet อย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้าที่โลกเราจะมีเทคโนโลยี PoE นั้น การติดตั้งอุปกรณ์ IT หรืออุปกรณ์เครือข่ายใดๆ ต่างก็ต้องมีการเผื่อการเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟเอาไว้เสมอ ทำให้ในการใช้งานหลายๆ กรณีนั้นจะต้องมีการเผื่อไว้ทั้งสาย LAN และสายไฟพร้อมๆ กัน ส่งผลต่อเนื่องให้การติดตั้งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพราะอาจต้องเดินระบบไฟฟ้าเพิ่มสำหรับแต่ละอุปกรณ์ รวมถึงความรกของสาย LAN และสายไฟพี่มีจำนวนมากภายในอาคารหรือบนโต๊ะทำงาน
แนวคิดของ Power over Ethernet หรือ PoE จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรวมการรับส่งข้อมูลและการจ่ายพลังงานไฟฟ้าเอาไว้ภายในสาย LAN เส้นเดียวกันเลย ทำให้การออกแบบและติดตั้งใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ นั้นสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินระบบไฟลงไปได้ และช่วยให้ปริมาณสายต่างๆ ภายในองค์กรลดลงไปด้วยเช่นกัน โดยอุปกรณ์ที่นิยมจ่ายไฟฟ้าด้วย PoE มีดังนี้
- IP Phone และระบบ Video Conference
- IP Camera หรือกล้อง IP CCTV
- Wireless Access Point
- อุปกรณ์ IP Decoder
- อุปกรณ์ Router บางชนิด
- อุปกรณ์ Network Switch ขนาดเล็ก
- นาฬิกา IP Clock ที่ประสานเวลากับระบบ NTP
- อุปกรณ์ Sensor, Controller, Meter และอื่นๆ ในระบบ SCADA และ Internet of Things (IoT)
- อุปกรณ์หลอด LED อัจฉริยะ และระบบควบคุมแสงไฟภายในอาคาร
- ระบบ Access Control สำหรับรักษาความปลอดภัยภายในอาคาร เช่น ตรวจสอบบัตร, ลายนิ้วมือ, การ์ด และอื่นๆ
- ระบบ Point of Sale (POS) ขนาดเล็ก
- และอื่นๆ อีกมากมาย
จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีแต่อุปกรณ์ใช้งานในระดับธุรกิจหรือองค์กรเท่านั้นที่มีการใช้งาน PoE แต่อุปกรณ์ที่ใช้งานตามบ้านบางประเภทเองก็เริ่มมีการใช้งาน PoE บ้างแล้ว รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ จากระบบ Internet of Things (IoT) ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้มาตรฐานของการจ่ายไฟผ่านสาย LAN นี้จะเป็นที่รู้จักสากลกันภายใต้มาตรฐาน 802.3af (PoE) ที่มีกำลังจ่ายไฟประมาณ 15.4 Watt และมาตรฐาน 802.3at (High Power PoE+) ที่มีกำลังจ่ายไฟประมาณ 30 Watt และรองรับการทำงานแบบ Backward Compatible กับ 802.3af ได้ ทั้งนี้ในการคำนวนใดๆ นั้นก็ต้องประเมินเผื่อความสูญเสียของกำลังไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการส่งผ่านสาย LAN เอาไว้ด้วยประมาณ 10% ก่อนที่จะไปถึงอุปกรณ์ตัวรับพลังงานที่จะนำมาเชื่อมต่อ
สำหรับอุปกรณ์ที่สามารถจ่ายไฟบนสาย LAN ด้วย PoE หรือ High Power PoE+ ได้นั้น ปัจจุบันมีด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ อุปกรณ์ Switch ที่รองรับการทำงานแบบ PoE และ High Power PoE+ โดยสามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ผ่านสาย LAN ทีละหลายๆ เส้น และอุปกรณ์ PoE และ High Power PoE+ Injector ที่ส่วนใหญ่จะมีหน้าที่ในการจ่ายไฟให้กับสาย LAN ทีละ 1 เส้นเท่านั้น
4 ขั้นตอนการเลือก PoE และ High Power PoE+ ให้เหมาะกับการใช้งาน
สำหรับการนำเทคโนโลยี PoE และ High Power PoE+ มาใช้ในองค์กรนั้น มีขั้นตอนการพิจารณาดังต่อไปนี้
1. สำรวจก่อนว่าอุปกรณ์ที่เราต้องการกำลังไฟฟ้าเท่าไหร่, ใช้ความเร็วเครือข่ายเท่าไหร่ และติดตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง
อุปกรณ์แต่ละประเภทนั้นต้องการกำลังไฟฟ้าที่แตกต่างกัน บางอุปกรณ์อาจต้องการเพียงแค่ไม่กี่ Watt และสามารถใช้ PoE ก็สามารถตอบโจทย์ได้แล้ว แต่บางอุปกรณ์นั้นก็อาจต้องการกำลังไฟที่มากกว่านั้น เช่น 802.11ac Wireless Access Point ที่มักต้องการถึงระดับ PoE+ เป็นต้น ในขณะที่ความเร็วเครือข่ายที่ต้องการและจุดติดตั้งเองนั้นก็สำคัญเพราะจะส่งผลต่อการออกแบบระบบโดยรวม นอกจากนี้ก็ยังมีประเด็นเรื่อง Uptime ของอุปกรณ์ต่างๆ เพราะถ้าหากมีนโยบายว่าอุปกรณ์บางประเภทเช่น IP Camera นั้นควรจะต้องทำงานได้ตลอดเวลาอยู่เสมอจริงๆ การเลือก PoE และ High Power PoE+ Switch ที่มี Redundant Power Supply ก็อาจตอบโจทย์ในแง่ความทนทานนี้ได้
2. กำหนดจุดติดตั้ง PoE และ High Power PoE+ Switch โดยต้องมีระยะไม่เกินกว่า 100 เมตรจากจุดติดตั้งอุปกรณ์
หลังจากที่มีข้อมูลเรื่องกำลังไฟฟ้า, ความเร็วเครือข่ายที่ต้องการ และจุดติดตั้งของอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว ก็ได้เวลาเลือกจุดติดตั้ง PoE และ High Power PoE+ Switch ที่จะต้องมีระยะไม่เกินกว่า 100 เมตร และเตรียมสาย LAN ให้รองรับต่อการใช้ PoE และ High Power PoE+ ด้วย
3. คำนวนจำนวน Port สำหรับจ่ายไฟฟ้าผ่าน PoE และ High Power PoE+ ในแต่ละจุดติดตั้งที่ต้องการ
ในการคำนวนจำนวน Port ในแต่ละจุดติดตั้งนี้ จะทำให้เรารู้ข้อมูลของปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการในแต่ละจุด ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังการออกแบบระบบไฟฟ้าของอาคารในจุดนั้นๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการ และส่งผลต่อเนื่องไปยังการเลือกอุปกรณ์ Switch หรือ Injector ที่จะนำมาใช้งานอีกด้วย
4. เลือกรุ่นและจำนวนของ PoE และ High Power PoE+ Switch ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน
PoE และ High Power PoE+ Switch แต่ละรุ่นนั้นจะรองรับการจ่ายไฟผ่านจำนวน Port ได้แตกต่างกัน บางรุ่นสำหรับการใช้งานระดับองค์กรนั้นอาจรองรับการจ่าย PoE และ High Power PoE+ ได้พร้อมๆ กันทุก Port แบบเต็มกำลัง ในขณะที่ Switch บางรุ่นเองก็จะมีจำนวน Port ที่สามารถจ่าย PoE และ High Power PoE+ ได้จำกัดซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากค่า Total PoE Power Budget หรือมีเงื่อนไขต่างๆ ที่แตกต่างกัน รวมถึงบางกรณีอาจส่งผลถึงปริมาณ Power Supply Unit ที่ติดตั้งบน Switch แต่ละตัวเลยด้วย ดังนั้นการเลือกรุ่นและจำนวนของ PoE และ High Power PoE+ Switch ในจุดติดตั้งเหล่านี้ให้เหมาะสมต่อการใช้งานจึงอาจมีความซับซ้อนอยู่บ้าง และควรลงรายละเอียดให้ครบถ้วน ทั้งนี้ถ้าหากบางจุดติดตั้งนั้นรองรับอุปกรณ์เพียง 1 ตัว การเลือกใช้ PoE หรือ High Power PoE+ Injector ก็อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมได้เช่นกัน และการออกแบบขนาดของ Uplink ให้เหมาะสมและเตรียม Port สำหรับใช้งานเป็น Uplink เอาไว้ด้วยก็เป็นอีกสิ่งที่อยู่ในการคำนวนที่จะลืมไปไม่ได้เลย
แนะนำ High Power PoE+ Switch จาก ZyXEL ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน PoE และ PoE+ ในระบบเครือข่ายสำหรับธุรกิจ
ZyXEL นัันเป็นผู้ผลิตที่ถือว่าตอบรับได้ทั้งความต้องการในระดับองค์กรและธุรกิจรวมถึงการใช้งานตามบ้านได้ในแง่ของโซลูชันทางด้าน PoE ที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่อุปกรณ์ PoE และ High Power PoE+ Switch ขนาดเล็กตั้งแต่ 8-24 Port ไปจนถึง Switch รุ่นใหญ่ขนาด 24-48 Port พร้อม Uplink ขนาด 10Gbps และมี Redundant Power Supply Unit โดยจะแบ่งออกเป็น 5 รุ่นหลักๆ ด้วยกันดังนี้
- ZyXEL GS1100 Series เป็น Unmanaged Switch รุ่นเล็กสุด รองรับทั้ง PoE และ High Power PoE+ และมีตั้งแต่ 8-24 Port
- ZyXEL GS1900 Series เป็น Web Managed Layer 2 Switch ที่รองรับทั้ง PoE และ High Power PoE+ และมีตั้งแต่ 8-24 Port
- ZyXEL GS1920 Series เป็น Advanced Web Managed Layer 2 Switch ที่มีทั้งรุ่น High Power PoE+ และรุ่นที่ไม่รองรับ PoE โดยมีตั้งแต่ 24-48 Port
- ZyXEL GS2210 Series เป็น Fully Managed Layer 2 Switch ที่มีทั้งรุ่น High Power PoE+ และรุ่นที่ไม่รองรับ PoE โดยมีตั้งแต่ 8-24 Port
- ZyXEL GS3700 Series เป็น Fully Managed Layer 2/3 Switch ที่มีทั้งรุ่น High Power PoE+ และรุ่นที่ไม่รองรับ PoE โดยมีตั้งแต่ 24-48 Port และรองรับการเพิ่ม 10Gbps Uplink และ Redundant Power Supply Unit (PSU) ได้ในตัว
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ High Power PoE+ Switch จาก ZyXEL นั้น สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.zyxel.com/th/th/promotions/Power-over-Ethernet-20160420-123589.shtml ทันทีครับ