สรุปงานเสวนา Digital Transformation is Driving Thailand’s Unique Competitiveness – EP.1: Digital Transformation and Creativity

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเสวนาออนไลน์​ Digital Transformation is Driving Thailand’s Unique Competitiveness EP #1 เรื่อง Digital Transformation and Creativity วงเสวนาที่มาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เรื่องการปรับตัวของธุรกิจในยุค (หลัง) COVID-19 โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ที่เพิ่งจัดไป สามารถอ่านสรุปประเด็นสำคัญได้ที่บทความนี้ครับ

ประเด็นการเสวนา

  • การสร้างและปรับเปลี่ยนธุรกิจให้แตกต่าง ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลผสานกับความคิดสร้างสรรค์ และโอกาสทางธุรกิจในยุค (หลัง) โควิด-19
  • การพิจารณานโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่สำคัญ เพื่อรองรับการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ผู้ร่วมเสวนา

  1. ดร.พีรพัฒ โชคสุวัฒนสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ PDPA อาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. นายดาวุทธ นาวีวงษ์พนิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท สลาม อีสต์ กรุ๊ป จำกัด
  3. นายวีร์ สิรสุนทร ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท พรีโมเวิร์ล จำกัด กรรมการสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย
  4. นายเนติวุฒิ จามรสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจ บริษัท ฟอร์มิเชลลา แอนด์ ศรีธวัช แอททอนีส์ แอท ลอว์ จำกัด

ดำเนินการเสวนาโดย คุณพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์

1. ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 แพร่ระบาดทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจและทุกอุตสาหกรรม วิทยากรแต่ละท่านมีการปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานอย่างไรบ้าง

ในฐานะอาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หน้าที่หลักของ ดร.​ พีรพัฒคือการสอนหนังสือนิสิต ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนจากเดิมที่ต้องมาเรียนในห้องให้ไปสู่รูปแบบออนไลน์แทน และแทนที่การสอนเนื้อหาเดิมๆ ซ้ำๆ ด้วยการบันทึกวิดีโอไว้ล่วงหน้า แล้วให้นิสิตไปศึกษามาก่อน ส่วนการเรียนในห้องแบบออนไลน์ก็จะสรรสร้างรูปแบบใหม่ที่ดูน่าสนใจ เพื่อให้การเรียนออนไลน์ไม่น่าเบื่อ

เช่นเดียวกัน คุณดาวุทธ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สลาม อีสต์ กรุ๊ป จำกัด ก็มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจ จากการสอนภาษาอาหรับแบบเจอหน้าในห้อง ก็ไปสู่รูปแบบออนไลน์ทั้ง Live และ On-demand แทน ส่วนธุรกิจการท่องเที่ยวประเทศแถบตะวันออกกลางก็มีการนำเทคโนโลยี เช่น AR/VR มาปรับใช้เพื่อจัดการท่องเที่ยวเชิงเสมือน (Virtual Tour) โดยมีการเชิญไกด์ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีมาร่วมด้วย เพื่อให้การเที่ยวออนไลน์มีทั้งความสนุกและได้ความรู้

ในมุมของบริษัท Startup ด้าน MarTech (Marketing Technology) ของคุณวีร์ มีข้อได้เปรียบตรงจุดนี้ เนื่องจากมีสำนักงานที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานผ่านระบบออนไลน์อยู่แล้ว จึงเปลี่ยนไปให้พนักงานทำงานที่บ้านและติดต่อสื่อสารแบบออนไลน์ 100% ได้ง่าย โดยแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย

สุดท้าย สำหรับบริษัทที่ปรึกษาด้านกฏหมายของคุณเนติวุฒิ ทีมทนายก็มีปรับตัวให้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่อติดต่อสื่อสารกันทั้งภายในบริษัทเองและระหว่างลูกค้า รวมไปถึงปรับเปลี่ยนวิธีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ กรมสรรพกร กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้เป็นรูปแบบออนไลน์เช่นกัน เช่น การยื่นเอกสารหรือการนัดหมายออนไลน์ เป็นต้น

2. การปรับตัวตามสถานการณ์ COVID-19 มีทั้งแบบชั่วคราวและถาวร สำหรับธุรกิจแล้ว อะไรบ้างที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถาวรหลังจากนี้

สำหรับภาคเอกชนแล้ว หลังจากจบเหตุการณ์ COVID-19 อาจมีทั้งที่กลับมาทำงานที่ออฟฟิศหรือทำงานแบบรีโมต 100% ต่อไปเลย ขึ้นกับวัฒนธรรมขององค์กร แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงแบบถาวรคือการที่ธุรกิจจะต้องมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอื่นๆ ในอนาคต

3 สิ่งที่ทุกธุรกิจควรตระหนักในขณะนี้ ได้แก่ Rethink, Reflect และ Reform

  • Rethink คือ การคิดใหม่ทำใหม่เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้แบบยั่งยืน
  • Reflect คือ การรับฟังความคิดเห็นและเสียงสะท้อนรอบข้างใน Ecosystem ให้มากยิ่งขึ้น
  • Reform คือ การเปลี่ยนวิกฤต COVID-19 ให้เป็นโอกาสในการพลิกโฉมธุรกิจ เช่น การใช้โอกาสนี้เพื่อปรับกระบวนการเชิงธุรกิจให้มีความคล่องตัวและตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

3. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการนำเทคโนโลยี เช่น Cloud, IoT, 5G, AI และ Data Analytics มาประยุกต์ใช้เพื่อทำ Digital Transformation ให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างไร

ความคิดสร้างสรรค์เกิดจาก Passion และ Positive Thinking ผู้ประกอบการธุรกิจควรเปลี่ยนค่านิยมในการทำงานแบบเดิมๆ ให้ออกจากกรอบ เพื่อสรรสร้างโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อดีของยุคออนไลน์ในปัจจุบัน คือ สามารถผิดพลาดได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และถูกลง นั่นคือธุรกิจสามารถค้นหาข้อผิดพลาดและแก้ไขหรือเริ่มใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสียค่าใช้จ่ายในความผิดพลาดนั้นๆ ถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก ยกตัวอย่างเช่น

  • ธุรกิจท่องเที่ยว จัดทำการท่องเที่ยวแบบเสมือน (Virtual Tour) พร้อมโปรแกรมส่งอาหารของชาตินั้นๆ มาให้ลูกทัวร์ทานเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการท่องเที่ยว
  • LegalTech สร้างเทคโนโลยีที่สามารถฟีดข้อเท็จจริงด้วยการอ่านข้อมูลคำพิพากษาหลายหมื่นหรือแสนฉบับ แล้วให้ AI นำมาวิเคราะห์โอกาสแพ้ชนะเมื่อต้องดำเนินการฟ้องร้องคดี
  • การนำ AI เข้ามาใช้เพื่อช่วยร่างสัญญาให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่กฏหมายแต่ละประเทศกำหนด

ทั้งนี้ ควรมองว่าผลผลิตหรือเครื่องมือที่ได้จากความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องปลายทาง ควรกลับไปมองดูว่า จริงๆ แล้ว เราต้องการแก้ปัญหาอะไร สิ่งที่ช่วยให้เราวิเคราะห์ปัญหาที่แท้จริงได้นั้นก็คือข้อมูล เมื่อมีการเก็บข้อมูลลูกค้ามากขึ้น ย่อมเข้าใจในตัวลูกค้า เปิดโอกาสให้สามารถสรรสร้างโซลูชันใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการและสร้างมูลค่าให้แก่บริการของเราได้

4. การดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลต้องการความคล่องตัว แต่มักติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ที่เดินหน้าไปไว ไม่พอดีกับที่กฎหมายเอื้อให้ดำเนินการได้ โดยเฉพาะ PDPA มองประเด็นนี้อย่างไร

อีกมุมมองหนึ่ง กฎหมายถูกออกมาเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับสนับสนุนการนำข้อมูลไปใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ก็มีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act หรือ PDPA) เข้ามาคุ้มครองโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำไปใช้เกินขอบเขตที่เจ้าของข้อมูลอนุญาต

และในปัจจุบันที่มีการนำเทคโนโลยีเฉพาะทางหลายอย่าง เช่น Data Analytics หรือ AI เข้ามาใช้จัดการกับข้อมูล ทำให้ธุรกิจต้องว่าจ้างบริษัทภายนอกให้เข้ามาพัฒนาระบบหรือแพลตฟอร์มเพื่อใช้งานแทน การมีสัญญาที่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายที่ครอบคลุมและสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา ย่อมเป็นสิ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจและทำ Digital Transformation

5. จุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการกำหนดนโยบายและกฏหมายต่างๆ ควรเป็นอย่างไร เพื่อให้มีความเหมาะสม ไม่เข้มงวดจนเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ และไม่หย่อนยานจนผู้บริโภคเสียผลประโยชน์

ยกตัวอย่างเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายเป็นตัวสร้างสมดุลระหว่างข้อมูลที่อยู่กับตัวบุคคลเฉยๆ ไม่ได้เอาไปทำอะไร นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจและผู้บริโภคเอง โดยมีกฎหมายเป็นเครื่องมือคุ้มครองไม่ให้เกิดการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้จนเกินเลย คำถามคือแล้วต้องคุ้มครองระดับไหนถึงจะเรียกว่าเพียงพอ ไม่มากไป ไม่น้อยไป กฎหมายสมัยใหม่ เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มีการนำแนวคิดเรื่อง Soft Law เข้ามาใช้ กล่าวคือ การให้หน่วยงานกำกับดูแล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำมาตรฐานของกลุ่มธุรกิจของตนมาเสนอต่อหน่วยงานควบคุม แล้วค่อยพิจารณา ปรับปรุง แก้ไข จนกลายเป็นกฎหมาย เพื่อให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามได้ไม่ยากและยังคงได้ประโยชน์ ในขณะที่ผู้บริโภคก็ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม สรุปได้ว่า การหาจุดสมดุล คือ การเอาผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดมาคุยกัน เพื่อหาว่าตรงไหนคือจุดที่ลงตัวพอดี

นอกจากนี้ การกำหนดตัวบทกฎหมายต่างๆ ต้องมีความชัดเจน และบังคับใช้ได้จริง เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ที่สำคัญ คือ กฏหมายที่ออกนั้นต้องมีมาตรฐานเทียบเท่านานาชาติ หรือที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เพื่อที่ประเทศจะได้มีความน่าเชื่อถือและสามารถทำธุรกรรมข้ามชาติได้อย่างไร้ปัญหา ในยุคที่การเชื่อมต่อไร้พรมแดน ถ้ากฎหมายเข้มงวดหรือหย่อนยานไป อาจส่งผลต่อการลงทุนของต่างชาติและการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอื่นๆ ได้

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

UiPath เข้าซื้อกิจการ Peak.ai หวังเร่งขยายตัวสู่โซลูชัน Agentic AI

UiPath ได้เปิดเผยกิจกรรมการเข้าซื้อบริษัทสตาร์ทอัปที่ชื่อว่า Peak.ai ในรายงานบริษัทประจำไตรมาส ซึ่งนำเสนอเรื่องของ AI ที่ตัดสินใจได้

Radware เผยรายงานภัยคุกคามปี 2025 การโจมตี DDoS ยังคงหนักหน่วง BOT API และ AI เพิ่มความซับซ้อนให้แก่ฉากทัศน์ภัยไซเบอร์

Radware ผู้นำในด้านโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยได้ออกรายงานวิเคราะห์ผลสถิติของปีที่ผ่านมา ซึ่งการที่ Radware ได้ให้บริการในประเทศต่างๆทั่วโลกทำให้พวกเขามองเห็นเทรนด์การโจมตีที่เกิดขึ้นภูมิภาคต่างๆ ที่นอกจากมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแล้ว เทคโนโลยีใหม่เองอย่าง AI และ API ยังได้กลายเป็นความเสี่ยงให้แก่องค์กร และโดยภาพรวมทั้งหมดนั้นมีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย