เพื่อเตรียมตัวต่อการมาของการทำงานแบบ Hybrid Work อย่างเต็มตัวที่ทุกคนจะต้องเตรียมพร้อมทำงานให้ได้จากทุกที่ทุกเวลา รับมือได้กับทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝัน การเลือกเครื่อง Notebook สำหรับทำงานที่ตอบโจทย์นี้ได้ถือว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการพิจารณาสำหรับรอบการอัปเกรดเครื่อง Notebook สำหรับพนักงานในหลายบริษัทเลยทีเดียว
ในครั้งนี้ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสทดสอบการใช้งาน Dell Latitude 7320 2-in-1 รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล 11th Gen Intel® Core และ Windows 10 Pro จึงขอสรุปประเด็นต่างๆ จากการทดสอบใช้งานในครั้งนี้เอาไว้ดังนี้ครับ
Dell Latitude 7320 2-in-1: Notebook แบบ 2-in-1 สำหรับการทำงานแบบ Hybrid Work
Dell Latitude 7320 2-in-1 นี้เป็นเครื่อง Notebook สำหรับทำงานแบบ 2-in-1 ที่สามารถใช้งานได้ทั้งแบบปกติ และแบบ Tablet ด้วยการพับ Keyboard เป็นฐานตั้งหรือพับแนบไปกับด้านหลังของจอเลยก็ได้ โดยตัวจอของเครื่องในขนาด 13.3 นิ้วความละเอียด FHD 1920 x 1080, 60 Hz นี้สามารถสัมผัสหน้าจอได้ด้วย

ตัวเครื่องนี้ถูกออกแบบมาให้มีทั้งความสวยงาม ทนทาน โดยสำหรับเครื่อง Notebook แบบทั่วไปจะสามารถเลือกบอดี้ได้ทั้งแบบคาร์บอนไฟเบอร์และแบบอลูมิเนียมด้วยน้ำหนักเริ่มต้น 1.12 กิโลกรัม ในขณะที่เครื่องแบบ 2-in-1 จะเลือกได้เฉพาะแบบอลูมิเนียมเท่านั้นในน้ำหนัก 1.39 กิโลกรัม
ตัวสเป็คของเครื่องเองก็มีให้เลือกได้หลากหลาย ดังนี้
- สามารถเลือก CPU 11th Gen Intel Core i5 และ i7 ได้ทั้งแบบรุ่นธรรมดาและแบบ vPro
- สามารถติดตั้ง RAM ได้ตั้งแต่ 4/8/16/32GB
- สามารถติดตั้ง SSD ได้ตั้งแต่ 128GB/256GB/512GB/1TB
- สามารถเลือกระบบปฏิบัติการได้ทั้ง Windows 10 Pro และ Windows 10 Home

การเลือกใช้งาน Dell Latitude 7320 2-in-1 นี้จึงสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ของแต่ละองค์กรได้ เช่น ถ้าหาก Application สำหรับใช้ทำงานส่วนใหญ่อยู่บน Cloud แล้ว ตัวเครื่องก็ไม่จำเป็นต้องมีสเป็คที่สูงมากนัก แค่รองรับระบบปฏิบัติการและ Web Browser ทั่วไปได้ก็เพียงพอ ในขณะที่ถ้าหากยังคงต้องการประมวลผลข้อมูลบนตัวเครื่องเช่นการทำ Business Report หรือการจัดทำเอกสารขนาดใหญ่ ก็สามารถเลือกสเป็คเครื่องให้สูงขึ้นได้
สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาจะมีดังนี้

1. uSD 4.0 Memory Card Reader | 2. External uSIM card tray (optional) | 3. Thunderbolt™ 4 with Power Delivery and DisplayPort (USB Type-C™) | 4. USB 3.2 Gen 1 with Powershare | 5. HDMI 2.0 | 6. Wedge-shaped Lock Slot | 7. Thunderbolt™ 4 with Power Delivery and DisplayPort (USB Type-C™) | 8. Universal Audio Jack | 9. SmartCard Reader (optional)
ตัวเครื่องนี้จะมาพร้อมกับ Wi-Fi 6 รองรับการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายล่าสุดได้ทันที รวมถึงมีออปชันเสริมสำหรับเชื่อมต่อ 4G LTE ได้ โดยอีกจุดเด่นที่น่าสนใจก็คือเรื่องของความมั่นคงปลอดภัย ที่ Dell มีให้ทั้งในระดับของ BIOS และระดับของระบบปฏิบัติการให้เลือกใช้ได้ตามความต้องการ

Dell Latitude 7320 นี้ยังคงความเป็นเครื่องสำหรับใช้ทำงานในธุรกิจองค์กรอย่างเต็มตัว ด้วยการรองรับออปชันเสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจอที่มีความละเอียดหลายระดับ, การเข้ารหัสและการสำรองข้อมูล, Software เสริมความมั่นคงปลอดภัย, การแสกนลายนิ้วมือ รวมถึงระยะเวลาประกันตั้งแต่ 3-5 ปีตามแต่ต้องการ
ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Dell Latitude 7320 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dell.com/th/business/p/latitude-13-7320-2-in-1-laptop/pd
ใช้ Windows 10 Pro ทำงานได้อย่างชาญฉลาดและมั่นใจ
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในการทำงานในระดับธุรกิจองค์กร ทาง Dell จึงได้เลือกระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro มาเป็นระบบปฏิบัติการหลัก ทำให้สามารถทำงานร่วมได้กับทั้ง Windows Server และ Active Directory ภายในองค์กรและ Azure AD หรือ EMS ที่ธุรกิจองค์กรใช้อยู่แล้ว เพื่อให้ผู้ดูแลระบบ IT ของบริษัทสามารถช่วยดูแลรักษาแก้ไขปัญหา หรือทำการกำหนดนโยบายการใช้งานและความมั่นคงปลอดภัยได้จากศูนย์กลาง ตอบรับต่อการทำงานแบบ Hybrid Work ได้อย่างเหมาะสม
แกะกล่อง ลองใช้งานของจริง
เมื่อได้เครื่องมาแล้วทีมงาน TechTalkThai ก็ได้ทำการแกะเครื่องออกมาจากกล่อง และพบว่ากล่องนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องไม่มากนัก โดยนอกจากตัวเครื่องที่ให้มาแล้ว ก็ยังมี Adapter ชาร์จไฟผ่าน USB-C มาให้ใช้งานด้วยเท่านั้น ถือว่าค่อนข้าง Minimal ทีเดียว สำหรับองค์กรที่จัดซื้อไปจำนวนมากๆ ก็จะพบว่าแนวทางนี้มีข้อดีคือมีขยะที่เกิดขึ้นค่อนข้างน้อย และเป็นขยะที่ Recycle ได้เป็นหลัก
ตัวเครื่องนั้นมีน้ำหนักไม่ต่างจาก Dell Latitude รุ่น 7000 ที่ผ่านมาเท่าใดนัก โดยตัวบอดี้ของเครื่องที่ได้มาทดสอบนี้จะเป็นแบบอลูมิเนียม ซึ่งเครื่องแบบ 2-in-1 นี้ก็มีเฉพาะบอดี้แบบอลูมิเนียมให้ใช้ครับ โดยสัมผัสของบอดี้แบบนี้ก็จะเป็นแบบเรียบ ลื่น เย็น ยังคงรู้สึกหรูหราน่าใช้งานอยู่
ตัวจอของเครื่องที่ให้มานี้จะมีขนาด 13.3 นิ้วที่ความละเอียด FHD 1920 x 1080 แบบ 60 Hz ซึ่งก็ใช้งานได้สบายตาดี และยังมีการเคลือบชั้นกันรอยนิ้วมือเปื้อนจอเพื่อให้สามารถสัมผัสหน้าจอได้อย่างสบายใจและทำความสะอาดได้ง่าย ซึ่งหน้าจอก็ตอบสนองค่อนข้างดีทีเดียว ไม่รู้สึกต่างจากการใช้ Smartphone หรือ Tablet ในประเด็นนี้นัก
ด้านบนของจอเองก็มีกล้องอยู่ พร้อมมีฝาเปิดปิดให้เราเลื่อนเองได้ ก็ช่วยให้การประชุมงานโดยทั่วไปเราสามารถควบคุมกล้องที่ส่วนนี้ได้ง่ายดีครับ
สำหรับ Keyboard ที่ให้มาจะมีสัมผัสฝืดๆ เล็กน้อยเพื่อให้ติดนิ้ว พิมพ์งานง่าย และมีเสียงที่ไม่ดังนัก ทำให้สามารถประชุมงานไปพิมพ์งานไปได้ระดับหนึ่ง ส่วน Touch Pad เองก็มีขนาดใหญ่ดี มีสัมผัสลื่นๆ ใช้งานง่าย ติดนิ้วดี และตอนคลิกก็มีเสียงเบามากๆ ก็ทำให้ทำงานไปประชุมไปได้สะดวกดีครับ
ในการพับเครื่องเพื่อใช้งานในแบบ Tablet นั้นสามารถทำได้อย่างสบายใจ เพราะจุดเชื่อมต่อจอกับ Keyboard นั้นทำมาแข็งแรงมาก และมีสเต็ปในการพับที่ตายตัว โดยการใช้งานเครื่องแบบ 2-in-1 นี้ทำให้สามารถอยู่กับหน้าจอได้นานมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควรเลยทีเดียว เพราะผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนอิริยาบถให้เหมาะสมกับสิ่งที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลา
สเป็คของเครื่องที่ได้มาทดสอบในครั้งนี้มีดังนี้ครับ
- CPU: 11th Gen Intel Core i5-1135G7 (Non-vPro®, 8 MB Cache, 4 Core, 8 Threads, 2.40 GHz to 4.20 GHz, 28 W)
- RAM: 8GB, LPDDR4x, 4267 MHz, dual-channel, integrated
- SSD: 128 GB, Gen 3 PCIe x4 NVMe, Class 35 SSD
- GPU: Intel Iris Xe Graphics
- OS: Windows 10 Pro
โดยสรุปแล้วในการทดลองใช้งานจริง มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ครับ
- การติดตั้ง Windows 10 Pro ครั้งแรกและการอัปเดตทั้งหมดสามารถทำได้ราบรื่นดี ไม่มีปัญหาอะไร ตัวเครื่องทำงานค่อนข้างเงียบในระหว่างที่ทำการอัปเดต
- ถ้าใช้งานจน CPU ทำงาน 100% เช่น การดูคลิป 4K บริเวณ Keyboard จะอุ่นๆ บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับร้อน ยังใช้ทำงานต่อได้ไม่มีปัญหา
- CPU Intel Core i5 สามารถใช้ทำงานบน Application พื้นฐานเช่น Microsoft Office และการทำงานผ่าน Cloud ด้วย Web Browser ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่การจัดการกับไฟล์ Excel ขนาดใหญ่ๆ ก็อาจใช้ประสิทธิภาพอยู่บ้าง
- ระบบเสียงสำหรับใช้ประชุมงานค่อนข้างดีทีเดียว ลำโพงเสียงค่อนข้างดี ส่วนไมโครโฟนที่ใช้ประชุมนั้นก็สามารถใช้ได้ และปรับ AI ใน Dell Optimizer เพื่อช่วยตัดเสียงรบกวนเพิ่มเติมได้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะมีหลายออปชันแตกต่างกันออกไป ถือเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจ
- การพับเครื่องเพื่อใช้งานเป็น Tablet หรือใช้แบบจอสัมผัสเป็นหลักสามารถทำได้ง่าย ตัวข้อต่อมีความแข็งแรงทนทานเพียงพอ ในขณะที่น้ำหนักก็ไม่หนักจนเกินไป
- ไฟ Backlit ของ Keyboard ค่อนข้างสวย เปิดใช้งานตลอดทั้งวันได้เลย
- Proximity Sensor ช่วยปลุกเครื่องมาสู่หน้า Login ได้ทันทีที่เรานั่งเก้าอี้หน้าเครื่องเพื่อเตรียมทำงาน ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทำงานได้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย
- ถึงแม้ปุ่ม Delete จะอยู่ข้างปุ่ม Power แต่โอกาสกดผิดจนปิดเครื่องไปเลยถือว่ามีน้อย เพราะปุ่ม Power ค่อนข้างแข็ง ต้องใช้แรงกดค่อนข้างมาก ต่างจากปุ่ม Delete ที่จะใช้น้ำหนักกดไม่มากนักเหมือนปุ่มอื่นๆ บน Keyboard
- Dell Optimizer ใช้งานได้ค่อนข้างง่าย เลือกปรับ AI ให้เรียนรู้การใช้งาน Application ของเราได้ตามต้องการ และยังปรับระบบ AI สำหรับไมโครโฟนและแบตเตอรี่ได้
- ตัวระบบรายงานว่าเมื่อแบตเตอรี่เต็ม 100% จะสามารถใช้งานได้นานกว่า 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ในการใช้งานจริงก็อาจจะอยู่ได้ไม่นานเท่านั้นตามแต่รูปแบบการใช้งาน ซึ่งจากที่ทดลองใช้งานก็ถือว่าเพียงพอใช้ทำงานได้ทั้งวันสบายๆ
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นเครื่องที่ให้ประสบการณ์การทำงานแบบ Hybrid Work ได้อย่างดีทีเดียว เพราะนอกจากการรองรับการใช้ทำงานทั่วๆ ไปได้อย่างครบถ้วนแล้ว การออกแบบเครื่องให้รองรับการประชุมงานได้ดีเป็นพิเศษของ Dell ในครั้งนี้ก็ถือเป็นอีกจุดเด่นที่สำคัญ และด้วยความที่เครื่องเป็น 2-in-1 การใช้ทำงาน, ประชุมงาน หรือใช้เพื่อความบันเทิงนอกเวลางานนั้นจึงสามารถทำได้อย่างครบจบในเครื่องเดียวอย่างแท้จริง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงในการรีวิวเครื่องของ Dell รุ่นใหม่ๆ นั้นก็คือ Dell Optimizer ที่เป็นเครื่องมือสำหรับการปรับแต่งจูนเครื่องให้เหมาะสมกับการใช้งานของเรา โดย Dell ได้ทำการพัฒนาระบบ AI ขึ้นมาเรียนรู้พฤติกรรมของเราเพื่อให้การปรับแต่งนั้นเป็นไปได้อย่างอัตโนมัติและแม่นยำครับ
ตัว Dell Optimizer จะมีด้วยกัน 4 หมวด ดังนี้
- Application เลือกได้ว่าเราใช้แอปอะไรทำงานเป็นหลักบ้าง เพื่อให้ AI ของ Dell ปรับแต่งเครื่องให้เหมาะสมกับการใช้งานแอปนั้นๆ ของเราครับ
- Audio เลือกได้ว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่แบบไหน เพื่อให้ Dell เลือกนำ AI ตัดระบบเสียงมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ เราจะได้ประชุมงานได้โดยมีเสียงรบกวนน้อยที่สุดครับ
- Power เลือกปรับรูปแบบการชาร์จไฟได้ จะได้ถนอมอายุแบตเตอรี่ และเราจะได้มีแบตเตอรี่เพียงพอใช้ต่อรูปแบบการทำงานของเราครับ โดย AI จะเรียนรู้พฤติกรรมของเราและนำไปปรับแต่งการทำงานตรงส่วนนี้ให้โดยอัตโนมัติด้วย
- Proximity Sensor เลือกการทำงานของเซ็นเซอร์วัดระยะได้ ว่าจะให้ทำการปลุกเครื่องขึ้นมาพร้อมทำงานในสถานการณ์ใดบ้าง
ทั้งนี้ภายใน Dell Optimizer ก็จะมี Performance Feed มาคอยรายงานว่า AI ได้เรียนรู้ในส่วนไหนเสร็จเรียบร้อยไปบ้างแล้ว ก็ทำให้ติดตามได้ง่ายดีครับ
สรุปข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- ตัวเครื่องให้สัมผัสที่ยอดเยี่ยมทั้งบอดี้ภายนอก, Keyboard และ Touch Pad
- การเป็นเครื่องแบบ 2-in-1 ช่วยตอบโจทย์การทำงานและการใช้เพื่อความบันเทิงในยามพักผ่อนได้ดี ปรับอิริยาบถในการใช้เครื่องได้หลากหลาย ในขณะที่ตัวข้อต่อสำหรับพับจอนั้นก็มีความแข็งแรงทนทานดี ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างมั่นใจ
- จอและระบบเสียงที่ให้มาค่อนข้างดีทีเดียว ตัวเครื่องพร้อมใช้ประชุมงานได้เลยด้วยกล้องที่มาพร้อมกับฝาปิดลำโพง และไมโครโฟนที่ดี
- มี AI ใน Dell Optimizer ช่วยตัดเสียงได้ในหลากหลายสถานการณ์ ช่วยให้ประสบการณ์การประชุมงานดีขึ้นมากทีเดียว
- ใช้ USB-C เป็นหลัก ทำให้จัดสายต่างๆ ได้ค่อนข้างมีระเบียบ
- ใช้ Wi-Fi 6 แล้ว น่าจะรองรับการใช้งานได้อีกยาวนาน
- มีรุ่นให้เลือกได้ตามสเป็คของ CPU, RAM, Disk ทำให้มีหลายช่วงราคา เลือกไปใช้งานได้ตามความเหมาะสมของแต่ละธุรกิจและแต่ละตำแหน่งงาน
- มีการ์ดจอ Intel® Iris® Xe Graphics สำหรับงาน 3D โดยเฉพาะ ช่วยลดภาระของ CPU ในการทำงาน 3D หรือการเล่นเกมเบื้องต้นได้
ข้อเสีย
- หากเทียบกับ Tablet แล้วน้ำหนักยังถือว่าค่อนข้างสูงอยู่ แต่โดยทั่วไปการใช้งานในแบบจอสัมผัสมักเป็นแบบคว่ำเครื่องหรือวางคีย์บอร์ดระนาบกับพื้นเพื่อรับน้ำหนักมากกว่า จึงไม่ได้เป็นประเด็นมากนัก
- ในการใช้งานแบบจอสัมผัส จะไม่สามารถใช้ Keyboard ให้ทำให้ไม่มีปุ่มในการปรับความสว่างหน้าจอหรือเพิ่มลดเสียง เป็นจุดที่ต่างจาก Tablet แต่ก็สามารถชินได้ในเวลาไม่นาน
- เครื่องที่ได้มาทดสอบยังเป็น Intel Core i5 เท่านั้น ทำให้การประมวลผลหนักๆ เช่น การชมคลิป 4K หรือการอัปเดต Windows นั้นอาจทำให้ CPU ทำงานหนักได้ แต่สำหรับการทำงานทั่วไปก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
- SSD ที่ได้มาทดสอบที่ขนาด 128GB อาจมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับการใช้งานในระยะยาว แนะนำว่าซื้อเป็น SSD ที่มีความจุสูงกว่านี้ก็จะรองรับการใช้งานในระยะยาวได้ดีขึ้น
สนใจติดต่อทีมงาน Dell Technologies ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจ Dell Latitude รุ่นใหม่ที่ใช้ 11th Gen Intel Core และ Windows 10 Pro สามารถติดต่อทีมงาน Dell Technologies ได้ทันทีอีเมล Chidchanok.uthaigorn@dell.com หรือโทร 090-949-0823 (วศิน)
ดาวน์โหลดเอกสาร “Work Redefined” จาก Dell Technologies เพื่อสรุปถึงเทคโนโลยีและโซลูชันต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้เพื่อทำงานแบบ Hybrid Work เป็นภาษาไทยได้ที่ https://go.techtalkthai.com/2021/06/hybrid-work-by-dell-technologies/