ในงานสัมมนา Customer DG Transformation Workshop with Microsoft ที่จัดขึ้นโดย Dell EMC และ Microsoft เมื่อเดือนมกราคม 2018 ที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์และข้อคิดในการเลือกซื้ออุปกรณ์ PC, Notebook และอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับผู้ใช้งานเพื่อให้ตอบโจทย์ต่อการนำไปใช้งานในภาคธุรกิจเป็นหลัก ทางทีมงาน TechTalkThai เห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจจึงขอนำมาสรุปให้ทุกท่านได้อ่านกันดังนี้ครับ
1. องค์กรต้องมองอุปกรณ์ IT สำนักงานในมุมใหม่ เลือกให้ดีว่าจะรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ แห่งอนาคตมากน้อยแค่ไหน
ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ถือเป็นปีที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นมาและถูกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดรวดเร็ว จนการทำนายแนวโน้มของเทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีใครกล้าออกมาฟันธงอนาคตของเทคโนโลยีกันมากนัก
เช่นเดียวกัน การวางแผนด้านการลงทุนเทคโนโลยีเองก็ได้กลายเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน และความยากนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเฉพาะการลงทุนในส่วนของ Data Center หรือการขยายทีม Developer เท่านั้น แต่การซื้ออุปกรณ์ IT สำนักงานเองก็กลายเป็นโจทย์ที่ยากตามไปด้วย เพราะไม่มีใครรู้ได้แน่ชัดว่าเทคโนโลยีใดจะมา เทคโนโลยีใดจะไป และควรลงทุนอุปกรณ์ใดๆ เพื่อให้รองรับอะไรกันในอนาคตเพิ่มเติมบ้าง เพราะหากลงทุนผิดไปแล้ว ก็อาจส่งผลให้ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ที่จะเลือกใช้กันไปในอนาคต
ดังนั้นสิ่งที่เหล่าแผนก IT ต้องร่วมมือกับภาคธุรกิจในการทำก็คือ การวางแผนกลยุทธ์ด้านการทำงานของพนักงานในองค์กรให้ชัด เช่น การวางแผนด้าน Mobile Worker ให้ชัดเจนว่าพนักงานกลุ่มใดควรจะใช้แนวทางนี้ และผลลัพธ์จะมีความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด หรือการก้าวไปสู่การเป็น Digital Workspace อย่างเต็มตัวและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการลดพื้นที่การทำงานภายในออฟฟิศลง ซึ่งจะสามารถประเมินความคุ้มค่าได้ชัดเจนยิ่งกว่า และทำให้เลือกได้ว่าจะลงทุนในอุปกรณ์ IT สำนักงานในลักษณะใดให้นอกเหนือไปจากการแค่ทำให้พนักงานพอจะทำงานได้
ประเด็นด้าน Security เองก็ถือเป็นอีกประเด็นที่ต้องให้ความสนใจไม่น้อย อย่างเช่น การยืนยันตัวตนด้วยวิธีการใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างเช่นการใช้ลายนิ้วมือ, ใบหน้า และอื่นๆ ในการยืนยันตัวตน รวมไปถึงความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูลภายในอุปกรณ์ ซึ่งประเด็นเหล่านี้นับวันจะยิ่งมีความสำคัญสูงขึ้นเรื่อยๆ และการเลือก Hardware กับ Software ที่สามารถรองรับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเหล่านี้ให้ได้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเลือกให้ดี เพราะหากเลือกพลาดแล้วก็อาจทำให้องค์กรไม่สามารถก้าวไปสู่แนวทางที่ตนเองต้องการได้อีกหลายปีเลยทีเดียว
2. ผู้ขายอุปกรณ์ IT สำนักงานต้องตีโจทย์ผู้ใช้งานใหม่ ทำความเข้าใจ Business Model แห่งอนาคตของลูกค้าให้ดี
ท่ามกลางกระแสของการทำ Digital Transformation ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกๆ วันนี้ กระบวนการการทำงานและเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงานและการตอบสนองต่อความต้องการต่างๆ ของลูกค้าทั้งในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ นั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อธุรกิจนั้นจึงได้กลายเป็นโจทย์ใหม่ที่ได้รับความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
เหล่าผู้ที่นำเสนออุปกรณ์ IT สำนักงานเองนั้นก็ต้องทำการบ้านกันหนักมากขึ้น ไม่เพียงแต่การทำความรู้จักกับอุปกรณ์ IT รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สามารถนำเสนอโซลูชันได้หลากหลายเท่านั้น แต่ยังต้องทำความเข้าใจใน Business Model ใหม่ที่ลูกค้ามีทิศทางอยู่แล้วหรือควรจะมุ่งหน้าไป, แนวทางการปรับปรุงกระบวนการการทำงานในอนาคตเพื่อให้สามารถเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสมและรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจที่การขายหน้าร้านจะกลายเป็นจุดสำคัญที่เกิดการทำ Digital Transformation การนำเสนออุปกรณ์ 2-in-1 Notebook ที่สามารถถอดแปลงเป็น Tablet ได้ก็อาจเหมาะสมกว่า หรือธุรกิจที่มีแผนการนำเทคโนโลยี Virtual Reality และ Augmented Reality มาใช้งาน การนำเครื่อง Workstation ที่มีพลังประมวลผลกราฟิกสูงแต่สามารถทำได้โดยไร้เสียงก็อาจเป็นประโยชน์ต่อหน้าร้าน เป็นต้น
นอกจากอุปกรณ์ประมวลผลทั่วๆ ไปแล้ว แนวโน้มของอนาคตที่น่าสนใจอย่างเช่นแว่นตา Virtual Reality, หุ่นยนต์, อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) เองต่างก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับภาคธุรกิจทั้งสิ้น และภาพเหล่านี้เองก็อาจถูกรวมเข้ามาเป็นงานหนึ่งที่เหล่าผู้ขายอุปกรณ์ IT ต้องเริ่มศึกษาด้วยแล้วเช่นกัน
3. ความหมายของ Cost ในการลงทุนอุปกรณ์ IT สำนักงาน ควรมองที่ TCO ไม่ใช่ราคาลงทุนเริ่มต้น
หากพูดถึงโดยทั่วไปแล้ว การซื้ออุปกรณ์ IT ในระดับของผู้บริโภคหรือ Consumer นั้นมักจะใช้อารมณ์เป็นตัวนำการตัดสินใจ และคนทั่วไปก็เข้าใจว่าในภาคธุรกิจองค์กรเองนั้นก็ไม่ต่างกัน เพราะการเทียบอุปกรณ์ IT ของผู้ผลิตแต่ละค่ายที่ไม่ได้มีจุดแตกต่างกันมากนัก ก็มักใช้รูปลักษณ์และราคาเบื้องต้นมาเป็นตัวตัดสินใจ
Dell ในฐานะของบริษัทที่อยู่ในตลาด Commercial PC/Notebook มาอย่างยาวนาน และออกตัวว่าเป็นบริษัทที่ไม่ได้เอาชนะงานต่างๆ ด้วยราคาสินค้าที่ถูกกว่าคู่แข่ง ได้เสนอว่าสิ่งที่องค์กรควรใช้เป็นหลักในการตัดสินใจนั้นคือการวิเคราะห์ Total Cost of Ownership หรือ TCO ในการใช้งานมากกว่า โดยนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนเบื้องต้นเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ แล้ว การพิจารณาถึงระยะเวลาและเงื่อนไขการรับประกัน, เงื่อนไขการให้การสนับสนุนหลังการขาย และเวลาที่ต้องเสียไปในการติดตั้งดูแลรักษาอุปกรณ์ PC/Notebook โดยฝ่าย IT นั้นต่างก็ควรต้องนำมาใช้คิดรวมกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การโจมตีอุปกรณ์ PC/Notebook ภายในองค์กรเกิดขึ้นทุกเมื่อ และการพกพาอุปกรณ์ Notebook ไปทำงานนอกสถานที่นั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ประเด็นใหม่ที่องค์กรควรนำมาคิดเพิ่มเติมในการเมิน TCO ทุกวันนี้ก็คือเรื่องของการรักษาข้อมูลความลับขององค์กร การเข้ารหัสข้อมูลบน Hard Disk Drive (HDD) หรือ Solid State Drive (SSD) และกระบวนการการจัดการกับข้อมูลภายในอุปกรณ์เหล่านี้หลังจากที่่เลิกใช้งานหรือเปลี่ยนอุปกรณ์จากการประกันนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยในยุคปัจจุบันนี้ด้วย
Dell นั้นสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยบริการเสริมสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่ม Commercial ดังนี้
- การจัดการกับ Image ของเครื่องให้ก่อนส่งมอบเครื่อง เพื่อให้การตั้งค่าเบื้องต้นเป็นไปตาม Configuration ที่กำหนด และยังสามารถทำ System Restore ย้อนกลับมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ทำให้สามารถประหยัดเวลาการติดตั้งระบบใหม่เมื่อเครื่องเกิดปัญหาได้มากทีเดียว
- การให้บริการประกันขั้นต่ำ 3 ปีแบบ On-site และมีบริการประกัน Accidental Damage ครอบคลุมการซ่อมแซมจากกรณีการเกิดอุบัติเหตุได้
- อุปกรณ์มีความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูลภายในเครื่อง ทำให้การเปลี่ยนอุปกรณ์ HDD/SSD ที่เสียนั้นก็ไม่ต้องกังวลใดๆ ว่าจะมีข้อมูลรั่วไหลจากกรณีนี้
- มี Utility เสริมภายในเครื่องมากมายเพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถทำการตรวจสอบ ซ่อมแซม และส่งประกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
- ติดตั้ง Software มาในระบบปฏิบัติการน้อยมากๆ ทำให้เครื่องค่อนข้าง Clean มั่นใจได้ในความมั่นคงปลอดภัยพื้นฐานเบื้องต้น
4. การเลือกอุปกรณ์ให้หลากหลายเหมาะกับผู้ใช้งานแต่ละกลุ่มกันไป จะทำให้องค์กรสามารถลงทุนให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานแต่ก็ไม่อาจละเลยได้ ก็คือการเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานนั้น จะทำให้องค์กรได้รับความคุ้มค่าสูงสุด เพราะปัจจุบันด้วยความหลากหลายของตัวอุปกรณ์เองที่เหมาะสมกับงานในรูปแบบต่างๆ กัน การเลือกอุปกรณ์ให้ถูกต้องเหมาะสมกับผู้ใช้งานนั้นนอกจากจะทำให้ผู้ใช้งานทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ในมุมขององค์กรเองก็ยังอาจประหยัดการลงทุนลงไปได้อีกด้วย
ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในวงสนทนาครั้งนี้ก็คือการเล่าถึงกรณีการจัดซื้ออุปกรณ์ IT สำหรับให้เด็กนักเรียนภายในโรงเรียนใช้ ซึ่งเดิมทีทางโรงเรียนมีแผนที่จะซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับเด็กประถมได้เริ่มเรียนรู้เท่านั้น แต่เมื่อนำความต้องการมาวิเคราะห์กันจริงๆ แล้ว แผนการจัดซื้อที่เสนอมาตอนแรกนั้นใช้ CPU รุ่นที่น่าจะสูงเกินความต้องการของเด็กเล็กๆ ในการเรียนรู้ไป ทำให้ทางโรงเรียนปรับแผนการลงทุนใช้ CPU รุ่นที่เล็กลงสำหรับเด็กประถม และเหลืองบประมาณมาลงทุนเป็นจอขนาดใหญ่ความคมชัดสูงเพื่อให้เด็กมัธยมปลายสามารถนำไปใช้หัดตัดต่อวิดีโอได้ดียิ่งขึ้นเพิ่มขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องลงทุนใดๆ เพิ่มเติมจากงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรก
อีกประเด็นหนึ่งคือการที่หลายๆ องค์กรนั้นมักจะพิจารณาจากราคาของอุปกรณ์เป็นหลัก และทำให้ได้จัดซื้ออุปกรณ์รุ่นเก่าที่ใกล้จะตกรุ่นหรือตกรุ่นไปแล้วไปใช้งาน ซึ่งหากงานที่ใช้นั้นไม่สำคัญก็อาจไม่กระทบมากนัก แต่หากงานที่ต้องใช้นั้นเป็นงานสำคัญที่ส่งผลต่อธุรกิจโดยตรง เช่น ฝ่ายขาย, ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายวิศวกรรม, ฝ่ายการผลิต หรือฝ่ายบริหาร อุปกรณ์ที่ตกรุ่นนั้นก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลงได้ ดังนั้นการพิจารณ์ว่างานใดเหมาะสมกับ Hardware ระดับไหนก็เป็นอีกสิ่งที่พึงกระทำ โดยอาจพิจารณาจากทั้งปริมาณงานและ Application ที่ต้องใช้งานในปัจจุบัน เผื่อไปจนถึงอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าให้ดี
5. Digital Transformation จะเปลี่ยนอุปกรณ์ IT Endpoint ที่องค์กรเลือกใช้ด้วย ไม่ได้เปลี่ยนแค่ Data Center และ Business Software
มีการอ้างถึงการทำนายของ IDC ว่าประเด็นเรื่องราวของการทำ Digital Transformation นี้จะยังเป็นหัวข้อที่ต้องพูดคุยกันอีกนานถึง 15 ปีเป็นอย่างน้อย โดยในปัจจุบันนี้ยังมีบริษัทไม่ถึง 10% ที่ได้เริ่มทำ Digital Transformation ไปแล้ว และด้วยแนวโน้มของการที่มีบริษัท Startup ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทุกๆ วันพร้อมกับเทคโนโลยีหรือแนวทางใหม่ๆ ที่ตั้งใจจะมาเปลี่ยนโลกในแง่มุมต่างๆ ประเด็นเหล่านี้เองก็ถือเป็นเรื่องที่เหล่าองค์กรต้องจับตามองให้ดี
เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่และได้รับความนิยมในการใช้งานนี้อาจไม่เกิดขึ้นเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในฝั่ง Data Center และเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา Application ของเหล่าองค์กรเท่านั้น แต่อาจส่งผลให้เหล่าองค์กรต้องเลือกใชัอุปกรณ์ Endpoint ที่เปลี่ยนไปให้เหมาะสมต่อการใช้งานด้วย ตัวอย่างเช่น โรงเรียนในทุกๆ วันนี้มีการใช้กระดาษมากถึง 4,000 แผ่นต่อเด็ก 1 คนในแต่ละปี ส่วนคนที่ทำงานนั้นต้องใช้กระดาษมากถึง 10,000 แผ่นต่อคนต่อปี การเปลี่ยนกระดาษเหล่านี้ให้มาอยู่ในรูป Digital ทั้งหมดหรือให้มากที่สุดเท่าที่่จะเป็นไปได้นี้ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มหาศาล แต่ก็ต้องคำนึงถึงการเพิ่มเติมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ Workflow เหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาได้ด้วย
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในไทยก็เช่นการที่นครชัยแอร์เองได้นำเอาเทคโนโลยีไปผสานในธุรกิจรถแท็กซี่ของตน ทำให้บนรถแต่ละคันต้องมี Endpoint ของตัวเองเพิ่มขึ้นมาเพื่อแสดงข้อมูลการรับผู้โดยสาร, แผนที่ และข้อมูลจราจรเพื่อประกอบการขับขี่ ทำให้การเลือกเส้นทางมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรับผู้โดยสารต่อวันได้มากกว่ารถแท็กซี่ทั่วๆ ไป
จะเห็นได้ว่า Endpoint ที่เหมาะสมกับงานเองก็มีบทบาทที่สำคัญไม่แพ้กับระบบ Application ต่างๆ เลย และในมุมของอุปกรณ์ PC หรือ Notebook สำหรับใช้ทำงานในอนาคตเองนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่องค์กรต้องเลือกให้ดี ไม่อาจมองเป็นแค่อุปกรณ์สำหรับติดตั้ง Windows เท่านั้นได้อีกต่อไป
เปิดตัว Dell Latitude รุ่นล่าสุด ใช้ CPU 8th Gen จาก Intel
ในเวลาเดียวกันนี้ Dell เองก็ได้เปิดตัว Dell Latitude อุปกรณ์ Notebook สำหรับทำงานรุ่นล่าสุด โดยใช้ CPU 8th Generation จาก Intel มาเป็นหน่วยประมวลผลหลักที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้นไปพร้อมๆ กัน โดยซีรีส์ใหม่ที่เปิดตัวมานี้จะมีด้วยกันทั้งสิ้น 12 รุ่น ใช้รหัสลงท้ายด้วยตัวเลข 90 ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์ของ Dell Latitude เดิมที่มีอยู่ ลองตรวจสอบสเป็คและราคาเบื้องต้นได้ที่ http://www.dell.com/th/business/p/latitude-laptops ครับ
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Dell มองว่าเป็นตลาดใหญ่สำหรับคอมพิวเตอร์ของผู้บริหารนั้นก็คือผลิตภัณฑ์กลุ่ม 2-in-1 ที่เป็น Notebook ซึ่งสามารถแปลงมาเป็น Tablet ได้ สามารถตอบโจทย์ผู้บริหารในแง่ของความง่ายในการพกพา และยังสามารถตั้งโต๊ะพิมพ์งานได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับการนำไปใช้งานได้ในหลากหลายรูปแบบในหนึ่งเดียว โดยผู้บริหารไม่ต้องมีปัญหากับการย้ายข้อมูลไปมาระหว่างแต่ละอุปกรณ์ หรือต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันระหว่าง Notebook และ Tablet อีกต่อไป โดยทาง Dell ได้จำแนกผลิตภัณฑ์นี้ออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน ดังนี้
- Detachable เป็น Notebook ที่สามารถถอด Keyboard ออกแล้วกลายเป็น Tablet ได้ จะมีข้อดีเรื่องน้ำหนักที่เบาในขณะที่เป็น Tablet
- Convertible เป็น Nobetook ที่สามารถพับ Keyboard ไปด้านหลัง 360 องศา แล้วกลายเป็น Tablet ได้ จะมีข้อดีเรื่องสามารถนำ Keyboard ที่พับไปด้านหลังมาเป็นขาตั้ง Tablet ได้ และไม่ต้องกังวลเรื่องการถอด Keyboard แล้วลืมทิ้งไว้
ทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ก็จะมีความแตกต่างในแง่ของการใช้งาน, น้ำหนัก, ความทนทานของแบตเตอรี่ และประเด็นอื่นๆ รวมถึงงบประมาณที่ใช้ ดังนั้นหากจะเลือกใช้ก็ควรจะให้ผู้ใช้งานทดสอบก่อนเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการให้ดีด้วย
สุดท้ายทางทีมงาน TechTalkThai ต้องขอขอบคุณทาง Dell EMC ที่ได้เชิญไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วยครับ