[รีวิว] HyperX Streamer Starter Pack: ชุดหูฟังและไมโครโฟนเกมมิ่ง ที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้ประชุมงานและการใช้งานด้านความบันเทิงในหนึ่งเดียว

การประชุมงานและการร่วมงานสัมมนาผ่านระบบออนไลน์นั้นได้กลายเป็นกิจกรรมหลักกิจกรรมหนึ่งที่จำเป็นต่อการทำงานในแทบทุกธุรกิจในทุกวันนี้ไปแล้ว อุปกรณ์อย่างหูฟังและไมโครโฟนจึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อีกต่อไปในการทำงานแบบ Hybrid Work ในทุกวันนี้

ทาง HyperX ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำทางด้านหูฟังสำหรับการเล่นเกม จึงได้ส่งชุด HyperX Streamer Starter Pack ซึ่งเป็นชุดหูฟังและไมโครโฟนสำหรับการเล่นเกมมาให้ทีมงาน TechTalkThai ได้ทำการทดสอบใช้ในเชิงของการทำงานและการประชุมเป็นหลัก เพื่อนำเสนอถึงประสิทธิภาพ คุณภาพ และความคุ้มค่าที่สามารถใช้ในการทำงานได้จริง ซึ่งก็ต้องบอกเลยครับว่าในการทดสอบถือว่าอุปกรณ์ชุดนี้ใช้งานได้ดีจริงๆ ดังที่ทางแบรนด์ได้นำเสนอเอาไว้

ส่วนประสบการณ์การใช้งานจะเป็นอย่างไร ขอเชิญทุกท่านอ่านได้ในบทความนี้เลยครับ

HyperX Streamer Starter Pack ราคาเท่าไหร่? มีอะไรบ้าง?

ในชุด Hyper-X Streamer Starter Pack นี้จะมีราคา 3,990 บาท โดยจะมาพร้อมกับ 2 อุปกรณ์ด้วยกันหลักๆ ได้แก่

Credit: HyperX

1. HyperX Cloud Core

อุปกรณ์ Gaming Headphone ที่มาพร้อมทั้งหูฟังแบบครอบหู Over-Ear ซึ่งมีไมโครโฟน Noise-Canceling ที่ถอดใส่ได้อย่างง่ายดายมาให้ใช้งานด้วย โดยตัวสายที่ใช้เชื่อมต่อจะเป็น AUX/3.5 mm พร้อมสายสำหรับแปลงจาก 3.5mm หัวเดียวเป็น 2 หัวแยกเสียงสำหรับหูฟังและไมโครโฟน สำหรับเครื่อง PC ที่อาจจะยังแยกสายอยู่ได้ ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น

Credit: HyperX

ความสามารถเด่นๆ ของ HyperX Cloud Core มีดังต่อไปนี้

  • DTS Headphone:X Spatial Audio ระบบเสียงแบบ Spatial ที่สามารถรองรับการใช้งานได้บน PC โดยมาพร้อมกับ License การใช้งาน 2 ปี
  • Memotry Foram & Premium Leatherette โฟมครอบหูที่สวมใส่สบายและคืนรูปได้โดยอัตโนมัติ สามารถสวมใส่ใช้งานได้ยาวนานโดยรู้สึกดี
  • Durable Aluminium Frame โครงอลูมิเนียมความทนทานสูง หุ้มในทุกส่วนที่ต้องสัมผัสในการใช้งานจนสวมใส่ได้สบาย ใช้งานได้ไม่ต้องกังวลว่าอุปกรณ์จะเสียหาย

2. HyperX SoloCast

อุปกรณ์ไมโครโฟนแบบ USB พร้อมขาตั้งให้ใช้งานได้ทันที และยังรองรับการติดตั้งกับขา Mount ไมโครโฟนแบบมืออาชีพได้

Credit: HyperX

ความสามารถเด่นๆ ของ HyperX SoloCast มีดังต่อไปนี้

  • Tap-to-mute Sensor บนตัวไมโครโฟนจะมีปุ่มสำหรับให้ Mute ได้ด้วยการสัมผัส ดังนั้นจึงสามารถ Mute/Unmute ได้บนตัวไมโครโฟนโดยตรง ไม่ต้องไปทำการเปิดปิดใน Application แต่อย่างใด ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลยิ่งขึ้น
  • Flexible, Adjustable Stand ขาตั้งที่ให้มาสามารถบิดปรับมุมให้เหมาะสมต่อการใช้งานได้ ช่วยให้การติดตั้งใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • 3/8: – 5/8″ Mic Mount Threading สำหรับกรณีที่ต้องการติดตั้งกับขาตั้งไมโครโฟนระดับมืออาชีพเพื่อลดเสียงรบกวนให้เหลือน้อยที่สุด ก็สามารถถอดไมโครโฟนออกจากขาตั้งมาใช้งานได้เลยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าทั้งสองอุปกรณ์นี้ต่างก็มีถูกออกแบบมาให้ถูกใช้งานในบริบทที่แตกต่างกัน โดย HyperX Cloud Core นั้นจะเหมาะสำหรับทั้งการใช้ในการเล่นเกมคนเดียวและเล่นเกมหลายคน แต่สำหรับ HyperX SoloCast จะเหมาะกับ Streamer มากกว่า ซึ่งในการประยุกต์นำมาใช้ในการทำงานและประชุมงานนั้น ก็สามารถนำมาใช้ได้อย่างยืดหยุ่นตามความเหมาะสมครับ

แกะกล่อง ทดลองใช้งานของจริง

ในการแกะกล่องทดลองใช้งาน Hyper-X Streamer Starter Pack กล่องเดียวนี้ก็จะบรรจุทั้ง HyperX Cloud Core และ HyperX SoloCast พร้อมให้เรานำมาใช้งานได้ทันทีครับ

1. ทดลองใช้งาน HyperX Cloud Core

สำหรับตัว HyperX Cloud Core นี้ก่อนจะใช้งานก็ต้องทำการประกอบตัวไมโครโฟนเข้ากับหูฟังก่อนเล็กน้อย ซึ่งก็ถือเป็นความยืดหยุ่นที่ดี เพราะสำหรับกรณีที่เราจะใช้เล่นเกมคนเดียวหรือฟังเพลงระหว่างทำงานเฉยๆ เราก็สามารถถอดไมโครโฟนออกไปได้หากรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ถ้าหากจะใช้ในการประชุมงานด้วย ก็สามารถเสียบคาไว้ได้เลย โดยตัวก้านไมโครโฟนจะมีความยืดหยุ่นให้เราปรับได้ตามต้องการ

ตัววัสดุที่ใช้ใน HyperX Cloud Core ถือว่าแข็งแรงค่อนข้างมาก หยิบจับได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำส่วนใดหัก และมั่นใจได้ว่าตัวโครงจะแข็งแรงทนทานต่อการใช้งานได้ในระยะยาว

สำหรับการสวมใส่ใช้งาน ตรงส่วนหูฟังที่ต้องครอบหูนั้นก็สามารถปรับระดับได้ถึง 8 ระดับสำหรับแต่ละข้าง เพื่อให้สวมใส่ได้สบายตามที่ผู้ใช้แต่ละคนต้องการ โดยถ้าหากปรับได้พอดีแล้ว หัวหูฟังก็จะครอบหูพอดี และถ่ายน้ำหนักบางส่วนไปบนหัวด้วย ในขณะที่แรงหนีบเองก็ไม่ได้ถือว่าแน่นจนเกินไปหรือหลวมจนเกินไป เรียกได้ว่าใส่ได้สบายกำลังดี

ในแง่ของน้ำหนักนั้นจะอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 300 กรัม ก็ยังเป็นน้ำหนักที่สวมใส่ใช้ทำงานประชุมงานได้ต่อเนื่องอยู่พอสมควร แต่ถ้าหากจะใส่หลายชั่วโมงต่อเนื่องก็อาจต้องมีการถอดเพื่อพักบ้างเป็นระยะๆ

สำหรับผู้ที่ใส่แว่น ตัวหูฟังแบบครอบนี้จะกดขาแว่นอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นสำหรับขาแว่นที่มีขนาดเล็กและแบน แต่สำหรับคนที่ใช้ขาแว่นขนาดใหญ่หน่อยก็อาจต้องลองใส่ก่อนตัดสินใจซื้อครับ

บนสายของอุปกรณ์จะสามารถปรับระดับความดังของเสียงได้ และสามารถเปิดปิดไมโครโฟนได้เลย ทำให้ค่อนข้างสะดวกต่อการใช้งานจริง

เสียงในแง่ของการฟัง อันนี้ถือว่าประทับใจมากๆ เพราะตัวครอบหูเองนั้นก็จะช่วยตัดเสียงแวดล้อมของผู้ฟังออกไปให้พอสมควรอยู่แล้ว ทำให้ถึงแม้จะไม่ได้ประชุมอยู่ แต่ถ้าใส่หูฟังนี้ก็จะมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้าได้ดีขึ้น และในขณะประชุมงาน ถึงแม้จะไม่ได้ประชุมอยู่ในห้องที่มีเสียงเงียบนัก หูฟังก็จะตัดเสียงรอบข้างออกไปทำให้ได้ยินเสียงประชุมงานที่ชัดเจน ส่วนตัวคุณภาพเสียงที่ได้ฟังก็ถือว่าดีและมีมิติกว่าหูฟังแบบ In-Ear ก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนประสบการณ์ในการประชุมงานไปได้พอสมควร

ส่วนในแง่ของการพูด ก็เป็นอีกจุดที่ประทับใจมากเช่นกัน เพราะเดิมที HyperX Cloud Core นี้ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกม ดังนั้นจึงมีการคิดเผื่อในหลายการใช้งานไว้ค่อนข้างมาก เช่น การตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้เป็นอย่างดี, การที่มีก้านไมโครโฟนทำให้ไมโครโฟนอยู่ใกล้ปาก สามารถใช้ Sensitivity ต่ำในการใช้ได้ และทำให้ไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดัง ผู้ฟังก็ยังได้ยินเสียงที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติอยู่ระดับหนึ่ง เป็นต้น

ลองรับชมคลิปการทดสอบเสียงได้ดังนี้เลยครับ

จะเห็นได้ว่าเสียงจากพัดลมที่เปิดในระยะใกล้นั้นถึงแม้จะเข้ามาบ้าง แต่ในการประชุมที่ไม่ได้เปิดเสียงดังมากนักก็ยังถือว่าเป็นเสียงในระดับที่ไม่ได้รบกวนมากนัก ส่วนในการเปิดเพลงในระยะใกล้ 50-100 เซนติเมตรก็จะยังคงมีเสียงรบกวนเข้ามาได้อยู่ เนื่องจากการตัดเสียงของไมโครโฟนตัวนี้ไม่ได้ใช้ระบบ AI ตัดนั่นเอง ซึ่งในคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันนี้ก็สามารถเปิดฟังก์ชันตัดเสียงรบกวนในส่วนนี้ออกไปได้อยู่แล้วครับ

จากการใช้งานจริงมาเป็นเวลาเดือนกว่าๆ พบว่า HyperX Cloud Core นี้ตอบโจทย์มากสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว เพราะหูฟังและไมโครโฟนนี้สามารถใช้ได้ทั้งในการประชุมงาน การฟังเพลง การเล่นเกม ครบตลอดทั้ง 24 ชั่วโมงทั้งในและนอกเวลางาน แต่ด้วยความเป็น Over-Ear ที่มีน้ำหนักประมาณ 300 กรัมก็อาจไม่สามารถสวมใส่ต่อเนื่องนาน 4-8 ชั่วโมงได้ แต่ถ้าเป็นแค่การประชุมงานประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็ใส่ได้สบายๆ ไม่มีปัญหาครับ

ในแง่ของความสุภาพในการใช้ในการทำงาน HyperX Cloud Core นี้จะมีโลโก้ของ HyperX สีแดงบนพื้นสีดำด้านข้างเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากประชุมงานหน้าตรงเป็นหลัก ก็ถือว่ายังสุภาพใช้งานได้อยู่ไม่มีปัญหาอะไร หรือจะหันข้างเล็กน้อยโลโก้เองก็ยังดูดีสวยงาม ไม่ได้ดูเป็นของเล่นหรือดูไม่สุภาพครับ

แต่สำหรับคนที่ต้องเป็นวิทยากรในงานสัมมนาออนไลน์ หรือต้องการประชุมกับผู้บริหารระดับสูง ก็อาจพิจารณาไปใช้ HyperX SoloCast เป็นไมโครโฟน คู่กับหูฟังแบบ In-Ear แทน ก็จะทำให้รบกวนสายตาน้อยลงครับ

2. ทดลองใช้งาน HyperX SoloCast

สำหรับ HyperX SoloCast นี้ในการใช้งานแรกเริ่มก็ถือว่าง่ายมากๆ ครับเพียงแค่เสียบสาย USB เข้ากับพอร์ต USB-C บนตัวไมโครโฟน และเชื่อมสายอีกด้านซึ่งเป็น USB Type-A เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพียงแค่นี้อุปกรณ์ก็พร้อมใช้งานได้แล้วครับ

จุดที่ต้องใช้เวลาเล็กน้อยคือการหาตำแหน่งติดตั้งวางบนโต๊ะทำงานให้สะดวก เนื่องจากตัวไมโครโฟนจะให้เสียงได้ดีที่สุดเมื่อหันหน้าเข้าหาต้นกำเนิดเสียงหรือบริเวณปากของผู้พูดนั่นเอง ซึ่งตัวอุปกรณ์ให้สาย USB ที่ค่อนข้างยาวมาอยู่แล้วจึงสามารถเลือกตำแหน่งบนโต๊ะได้ค่อนข้างอิสระ แต่การจัดการเรื่องระดับความสูงอาจจะยากเล็กน้อยถ้าไม่มีขาไมโครโฟนแยก

อย่างไรก็ดี ในการใช้งานแบบวางตั้งโต๊ะทั่วไปก็ยังถือว่าใช้ได้และให้เสียงที่มีคุณภาพดีพอสมควร โดยตัวขาตั้งที่แถมมาให้นี้ก็สามารถบิดได้ทั้งมุมเงย และบิดเอียงไมโครโฟนลงไปได้

ในแง่การใช้งาน HyperX SoloCast จะช่วยให้ภาพในกล้องเวลาประชุมดูสะอาดตามากขึ้น เพราะเราสามารถใส่เพียงแค่หูฟังซึ่งอาจจะมีสายหรือไร้สายแล้วใช้งานได้เลย โดยไมโครโฟนจาก HyperX SoloCast ก็ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าไมโครโฟนที่มาคู่กับหูฟังหลายๆ รุ่นแล้ว และยังสามารถ Mute ไมโครโฟนได้ที่ตัวอุปกรณ์ พร้อมไฟสัญญาณที่สังเกตได้ด้วยว่าอุปกรณ์ทำงานอยู่หรือกำลังถูก Mute เสียงอยู่ โดยการ Mute/Unmute นี้จะใช้เพียงการสัมผัสเบาๆ เท่านั้น ทำให้ไม่เกิดเสียงกดปุ่มในการ Mute/Unmute แต่อย่างใด

จุดสังเกตหนึ่งที่เกิดขึ้นในการใช้งานจริงก็คือ หากบนโต๊ะที่ใช้วางไมโครโฟนด้วยขาตั้งที่แถมมานี้เกิดการสั่นสะเทือน เช่น การพิมพ์คีย์บอร์ด การคลิกเมาส์ หรือการวางของใดๆ ก็อาจมีเสียงของการสั่นสะเทือนนั้นถ่ายทอดผ่านโต๊ะขึ้นมายังขาตั้งได้ด้วย แต่ในการใช้งานจริงประเด็นนี้ก็อาจไม่ได้สำคัญมากนักสำหรับการประชุมงาน แต่หากเป็นการนำเสนอในฐานะของวิทยากร ก็แนะนำให้วางแยกโต๊ะ หรือหาวัสดุที่ช่วยลดการสั่นสะเทือนได้มาวางรองเป็นฐาน หรือใช้ขาตั้งไมโครแฟนแยกเลยก็ได้เช่นกัน

ลองรับชมคลิปการทดสอบเสียงได้ดังนี้เลยครับ

โดยรวมแล้วการใช้งาน HyperX SoloCast ก็ถือว่าเป็นไปได้ค่อนข้างดีทีเดียว และให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า HyperX Cloud Core อย่างชัดเจน ดังนั้นในการใช้งานจริงเราอาจจะเลือกใช้หูฟัง HyperX Cloud Core แต่ใช้ไมโครโฟนจาก HyperX SoloCast ก็ได้ หรือจะแยกกรณีการใช้งานไปเลยก็ได้ หรือจะนำอุปกรณ์ไปใช้กับคอมพิวเตอร์คนละเครื่องเลยก็ได้เช่นกัน

หากให้สรุปว่าอุปกรณ์ใดเหมาะกับการใช้งานในรูปแบบไหน ทางทีมงานก็ขอสรุปจากประสบการณ์การใช้งานจริงดังนี้ครับ

  • HyperX Cloud Core เหมาะกับการประชุมงานภายในที่ไม่ทางการมากนัก และเหมาะกับผู้ที่มีที่พักอาศัยขนาดไม่ใหญ่ เสียงรบกวนเยอะ ไม่สามารถใช้เสียงดังได้ การใช้ HyperX Cloud Core ก็จะช่วยตัดเสียงแวดล้อมออกไปได้พอสมควรครับ
  • HyperX SoloCast เหมาะกับงานที่ต้องการคุณภาพของเสียงดีๆ เช่น การบันทึกวิดีโอฝึกอบรม, การประชุมงานกับผู้บริหาร, การทำหน้าที่เป็นพิธีกรหรือวิทยากรในงานสัมมนาออนไลน์ โดยต้องเลือกหูฟังให้เหมาะกับแต่ละวาระครับ


สรุปข้อดีข้อเสีย

ข้อดี

1. เป็นชุดที่ให้มาทั้งหูฟังและไมโครโฟนที่ตอบโจทย์ได้แทบทุกการทำงาน สลับใช้ได้ตามวาระโอกาสที่เหมาะสม พร้อมใช้งานได้ทันที ติดตั้งใช้งานได้ง่ายมากๆ
2. ความสามารถในการตัดเสียงถือว่าทำได้ดีสำหรับ Hyper-X Cloud Core ในขณะที่ SoloCast ก็มีความสามารถตัดเสียงเบื้องต้นมาให้ใช้
3. สำหรับการประชุมงานทั่วไป Hyper-X Cloud Core ตอบโจทย์ได้ดีมากในแง่ของเสียง เพราะตัวหูฟังเองก็ป้องกันเสียงรบกวนจากรอบข้างได้ดีทำให้สามารถมีสมาธิกับการประชุมได้ ในขณะที่ไมโครโฟนเองก็ตัดเสียงรอบข้างในขณะพูดได้แทบทุกกรณี
4. สำหรับการนำเสนอผ่านระบบ Conference หรือการประชุมระดับผู้บริหาร Hyper-X SoloCast ก็สามารถใช้ร่วมกับหูฟังแบบ Earbuds อื่นๆ ได้ดี และควบคุมการเปิดปิดไมโครโฟนได้จากที่ตัวอุปกรณ์ ทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งานสูงมาก


ข้อเสีย

1. Hyper-X Cloud Core อาจจะต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกปรับตัวหูฟังให้พอดีกับผู้สวมใส่อยู่บ้าง แต่ก็เป็นปกติของหูฟังแบบครอบอยู่แล้ว
2. Hyper-X SoloCast จะรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่อง PC ผ่าน USB Type-A เป็นหลัก ดังนั้นหากใช้เครื่องรุ่นใหม่ๆ หรือเครื่องที่มีขนาดบาง ก็อาจต้องเชื่อมต่อผ่าน USB Hub หรือหัวแปลงก่อน
3. Hyper-X SoloCast ถ้าใช้พร้อมกับขาตั้งที่แถมมาให้ อาจต้องหาโต๊ะวางแยกหรือขาตั้งแยก เพื่อลดการสั่นสะเทือนระหว่างการใช้ Keyboard และ Mouse ในระหว่างประชุมเพิ่ม


About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

รีวิว : Acer Swift Go 14 แล็ปท็อปเพื่อธุรกิจที่ความคล่องตัว ขับเคลื่อนด้วย Intel Core i7 เจนเนอเรชัน 13 รุ่นล่าสุด

Acer Swift Go 14 จะเข้ามาเป็นคู่หูที่รู้ใจให้การทำงานในรูปแบบ Working from Anywhere มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ด้วยความบางเพียง 14.9 มม. มีน้ำหนักเบาถึง 1.25 กก. …

[รีวิว] ติดขอบสนาม Technology Innovations ใน FIFA World Cup 2022 ที่กาตาร์

มหกรรมฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ได้เปิดฉากการแข่งขันนัดแรกของแต่ละกลุ่มแล้ว สิ่งที่ถูกกล่าวถึงกันมากที่สุดนอกเหนือจากสีสันของผลการแข่งขันนั่นก็คือ นวัตกรรมเทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา จะเห็นได้จากการยิงประตูที่ดีใจเก้อในหลายๆ ครั้ง ล้วนถูกปฏิเสธสกอร์จากการทำงานของเทคโนโลยีที่ถูกติดตัังไว้ภายในสนามฟุตบอลเพื่อรับบทบาทการเป็นผู้ช่วยให้กับผู้ตัดสินชี้ขาดได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้มีผลการแข่งขันที่ขาวสะอาด ไร้ซึ่งดราม่าหลังเกม ประจักษ์ชัดด้วยภาพเคลื่อนไหวแบบ 3D สู่สายตาผู้ชมทั่วทุกมุมโลก เบื้องหลังความล้ำสมัยเหล่านี้ …