Alcatel-Lucent Enterprise พร้อมช่วยธุรกิจไทย สื่อสารในช่วงวิกฤตได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมมั่นใจความปลอดภัยของข้อมูลด้วยมาตรฐาน GDPR และ ISO-27001

ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้ ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณสาธิต พันธ์ไพศาล ผู้ดำรงตำแหน่ง Country Manager ของ Alcatel-Lucent Enterprise ประจำประเทศไทย ที่ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยเหลือให้ธุรกิจองค์กรหลายแห่งในไทย ยังคงทำการสื่อสารเพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้แม้จะต้องปรับไปใช้นโยบาย Work from Home โดยยังคงมีความมั่นคงปลอดภัยสูง ตอบโจทย์การทำ PDPA ด้วยมาตรฐาน GPDR (General Data Protection Regulation) และ ISO-27001และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เนื่องจาก Alcatel-Lucent Enterprise เปิดให้ใช้งานโซลูชันด้าน Enterprise Collaboration ฟรีโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้งานเป็นเวลานานถึง 3 เดือน พร้อมทั้งแบ่งปันบทเรียนและวิสัยทัศน์สำหรับธุรกิจองค์กรในการฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

ถึงอยู่ท่ามกลางยามวิกฤต ธุรกิจองค์กรก็ยังมีทางเลือกในการสื่อสารได้อย่างปลอดภัย

ประเด็นแรกที่คุณสาธิตสังเกตได้จากการได้พูดคุยกับเหล่าธุรกิจองค์กรในครั้งนี้ ก็คือหลายองค์กรยังคงใช้ระบบในการสื่อสารภายในระหว่างพนักงานที่ไม่เป็นทางการนัก หลายแห่งมีการใช้งานระบบ Chat ฟรีภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย และเมื่อวิกฤตเกิดขึ้น การบริหารจัดการควบคุมช่องทางการสื่อสารให้เป็นระบบเพื่อให้การทำงานยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น และยังคงถูกต้องตามข้อกำหนดทางด้าน Compliance หรือการตอบรับต่อกฎหมายต่างๆ นั้นก็กลายเป็นเรื่องรองไป

สิ่งหนึ่งที่ Alcatel-Lucent Enterprise ได้นำเสนอให้กับเหล่าธุรกิจทั่วโลกและธุรกิจไทยด้วยในยามนี้ ก็คือการเปิดให้ธุรกิจองค์กรทุกขนาดสามารถใช้งาน Alcatel-Lucent Enterprise Rainbow ซึ่งเป็นระบบ Enterprise Collaboration ที่มีทั้งความสามารถในการ Chat, Video Conference, File Sharing และ Screen Sharing ได้อย่างครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นเวลาถึงสามเดือน โดยห้องแชทแต่ละห้องสามารถมีทีมงานเข้าร่วมได้สูงสุดถึง 300 คนพร้อมกัน เรียกได้ว่าการจัดการด้านการสื่อสารสำหรับธุรกิจองค์กรให้เป็นระบบนั้นสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตนี้ก็ตาม

Credit: Alcatel-Lucent Enterprise

การใช้โซลูชันระบบ Enterprise Collaboration นี้จะมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าการที่ปล่อยให้พนักงานไปใช้ระบบ Chat จากภายนอกกันเองเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ทุกการติดต่อสื่อสารนั้นมีทีม IT ของบริษัทเข้าไปช่วยสนับสนุนแก้ไขปัญหาได้ ในขณะที่การอัปโหลดส่งไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจต่างๆ นั้นก็ยังคงมีความมั่นคงปลอดภัย, มีการเข้ารหัส และเข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรเท่านั้น อีกทั้งหากบริษัทมีนโยบายที่จะจัดตั้งทีมทำงานฉุกเฉินสำหรับรับมือประเด็นเรื่องใดๆ ก็สามารถสร้างห้องพร้อมดึงผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

แน่นอนว่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การหันไปใช้ระบบ Chat ภายนอกนั้นอาจไม่มีความเสี่ยงที่สูงนัก แต่สำหรับธุรกิจองค์กรที่มีพนักงานตั้งแต่หลักหลายร้อยคนไปจนถึงหลักหมื่น การควบคุมการติดต่อสื่อสารให้มีประสิทธิภาพและยังคงมั่นคงปลอดภัยในช่วงเวลานี้ให้ได้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหากจบวิกฤตไป องค์กรก็อาจต้องเผชิญกับประเด็นปัญหาด้านข้อกฎหมาย, การทำ Compliance หรือแม้แต่การที่มีข้อมูลสำคัญของลูกค้าหลุดรั่วออกไปภายนอกแทนได้

สำหรับผู้ที่สนใจใช้ Alcatel-Lucent Enterprise Rainbow ฟรี สามารถกรอกแบบฟอร์มได้ทันทีที่ https://bit.ly/3bdZMOH หรือติดต่อตัวแทนจำหน่ายหรือทีมงานของ Alcatel-Lucent Enterprise ได้โดยตรง

ช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการ มีบทบาทสำคัญต่อการจัดการวิกฤตเป็นอย่างมาก

Credit: Alcatel-Lucent Enterprise

ถัดจากเรื่องของเทคโนโลยี ก็คือเรื่องของการประยุกต์นำเทคโนโลยีมาใช้งานที่เหมาะสมหลายธุรกิจองค์กรนั้นไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารภายในหรือภายนอกองค์กรนั้น ยังไม่มีการสร้างช่องทางที่เป็นทางการขึ้นมาสำหรับใช้ในการสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่นโยบายหรือการประกาศฉุกเฉินใดๆ แต่กลับติดนิสัยที่จะใช้ช่องทางซึ่งไม่เป็นทางการอย่างเช่น LINE หรือ Facebook ส่วนตัวในการประกาศ ซึ่งนอกจากจะทำให้ข่าวสารไม่สามารถถูกแพร่กระจายไปยังผู้รับสารที่เหมาะสมได้อย่างครบถ้วนแล้ว ความสับสนในการสื่อสารก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบเห็นได้เช่นกัน

ในยามนี้ธุรกิจองค์กรควรกำหนดให้ชัดว่าช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการของตนเองสำหรับการสื่อสารภายในและการสื่อสารภายนอกควรจะเป็นช่องทางใด และหากผู้รับสารมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้อย่างไร เพื่อลดความสับสนให้เหลือน้อยที่สุดนั่นเอง

การสื่อสารที่ดีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการรับมือวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างมั่นคง เพราะท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ การสื่อสารที่ดีและชัดเจนจะเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ธุรกิจองค์กรยังคงขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันได้นั่นเอง

เปลี่ยนวัฒนธรรมการสื่อสาร เพื่อรับมือกับวิกฤตให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

ในการรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ การนำบทเรียนจากการรับมือภัยพิบัติครั้งก่อนๆ มาใช้ก็ถือเป็นอีกสิ่งที่ควรทำ ซึ่งแน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อนอย่างนี้ การอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนหรือหลายทีมงานภายในธุรกิจองค์กรก็ถือเป็นหัวใจสำคัญ เดิมทีหลายองค์กรนั้นยังคงมีการสื่อสารในแบบ Silo คือพูดคุยกันเฉพาะในแผนกหรือทีมงานเดียวกัน แต่การแก้ไขปัญหานั้นองค์กรจะต้องทำลายกำแพงของคำว่าแผนกหรือทีมลง และสร้างการเชื่อมต่อพูดคุยระหว่างแผนกหรือทีมขึ้นมาให้ได้ เพื่อให้เกิดกระบวนการการทำงานข้ามทีมที่จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาใดๆ นั้นรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม

วางแผนรับมือวิกฤตในระยะยาว ด้วยการนำเทคโนโลยีอย่าง AI และ IoT เข้ามาช่วยเสริม

การแก้ไขปัญหาระยะสั้นก็สำคัญ แต่สำหรับธุรกิจองค์กรที่ต้องมีความมั่นคงนั้น แผนการรับมือกับปัญหาในระยะยาวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยสำหรับการรับมือกับปัญหาในระยะสั้นนี้ การมีเวลาเพื่อกลับมาทบทวนบทเรียนที่ได้รับจากการแก้ไขปัญหาก็จะทำให้ธุรกิจองค์กรมีแผนการรับมือกับปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ในอนาคต และเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

Credit: Alcatel-Lucent Enterprise

ในขณะเดียวกัน การมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาในระยะยาวก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะจากกระแสข่าวและการวิเคราะห์นั้น วิกฤตครั้งนี้จะคงอยู่กับเราอีกหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี ดังนั้นการนำเทคโนโลยีอย่าง AI หรือ IoT เข้ามาช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสการแพร่เชื้อถึงกันนั้นก็จะทำให้ธุรกิจก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีมีดังนี้

  • ระบบ AI สำหรับยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าและเปิดประตูโดยอัตโนมัติ ลดการสัมผัสประตูและการตอกบัตรลง
  • ระบบ IoT สำหรับอุปกรณ์จ่ายน้ำยาล้างมือ เพื่อให้ผู้ล้างมือสามารถล้างมือได้โดยไม่ต้องสัมผัส และมีการแจ้งเตือนให้เติมน้ำยาล้างมืออยู่เสมอให้เพียงพอต่อการใช้งาน
  • ระบบ AI สำหรับทำหน้าที่ Chatbot ช่วยให้ธุรกิจยังคงตอบรับต่อลูกค้ารายใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีนโยบาย Work from Home หรือการผลัดเวรมาทำงาน
  • ระบบกล้องวงจรปิดผสาน AI ที่ช่วยให้สอดส่องพฤติกรรมผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น หรือวิเคราะห์อุณหภูมิของคนเพื่อคัดกรองผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น
  • ระบบ Digital Signage แบบไร้การสัมผัส เพื่อให้จัดการงานต่างๆ ได้โดยลดการพบปะกันของมนุษย์ให้น้อยลง
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

แน่นอนว่าการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จะต้องอาศัยระบบ IT Infrastructure ที่เหมาะสม ซึ่ง Alcatel-Lucent Enterprise เองก็พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกธุรกิจองค์กรในประเด็นนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

ทดลองใช้งาน Alcatel-Lucent Rainbow ฟรี 3 เดือน!

ปัจจุบันนี้บริการ Alcatel-Lucent Rainbow™ ได้เปิดให้ภาคธุรกิจองค์กรสามารถใช้งานได้ฟรีนานถึง 3 เดือน เพื่อรับมือกับการทำงานจากบ้านหรือ Work from Home ช่วยให้ธุรกิจสามารถฝ่าฟันภัย COVID-19 ได้อย่างมั่นคง ผู้ที่สนใจกรุณาเยี่ยมชมและลงทะเบียนที่ https://bit.ly/3bdZMOH เพื่อรับสิทธิ์ใช้งานได้ทันที

ประวัติของคุณสาธิต พันธ์ไพศาล

ปัจจุบันคุณสาธิต พันธ์ไพศาลรับผิดชอบงานด้านการบริหารจัดการทั่วไปใน Alcatel-Lucent Enterprise ประจำประเทศไทย และมีบทบาทหลักในการผลักดันตลาดทางด้าน IP Communications และ Network Solutions สำหรับธุรกิจองค์กรให้แก่ Alcatel-Lucent Enterprise ในประเทศไทย

คุณสาธิตมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมทางด้าน ICT เป็นเวลายาวนานเกือบ 30 ปีทั้งภายในองค์กรระดับประเทศและระดับนานาชาติภายใต้บทบาทที่หลากหลาย ตั้งแต่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่าย, ที่ปรึกษาระบบ IT, ผู้บริหารโครงการ, ผู้พัฒนาธุรกิจ และผู้ดูแลช่องทางการขายสินค้า

คุณสาธิตจบการศึกษาปริญญาโททางด้าน Computer and Engineering Managment จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และได้รับเกียรตินิยมทางด้านวิศวกรรมจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

เกี่ยวกับ Alcatel Lucent Enterprise

ALE ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับชุมชนของคุณได้ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทำงานได้เป็นอย่างดี ทั้งสำหรับผู้คน, สาธารณชน และองค์กรของคุณ ด้วยการเป็นธุรกิจที่ครอบคลุมทั่วโลกและให้ความสำคัญกับความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เราได้นำเสนอระบบเครือข่ายและการสื่อสารที่มั่นคงปลอดภัยซึ่งออกแบบมาเพื่อให้นำไปใช้เพื่อให้บริการสื่อสารโต้ตอบภายในชุมชนโดยเฉพาะ ทำให้ประชาชนสามารถสื่อสารกันได้อย่างปลอดภัย และโต้ตอบกันได้ด้วยประสบการณ์ที่ดี ในขณะที่เจ้าหน้าที่ก็สามารถเชื่อมต่อและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้บริการสาธารณะได้อย่างมั่นคง รวมถึงตัวแทนเจ้าหน้าที่ภาครัฐเองก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ, สื่อสารทำงานระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี เป้าหมายของเราคือการเชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเทคโนโลยีที่ลูกค้าของเราต้องการ ทั้งภายในที่ทำงาน, บน Cloud หรือทั้งสองแห่งรวมกัน เราสามารถนำเสนอระบบเครือข่ายและการสื่อสารที่ใช้งานได้จริงสำหรับบุคลากร, กระบวนการ และลูกค้าของคุณ

ด้วยนวัตกรรมและความทุ่มเทเพื่อให้ลูกค้าประสบความสำเร็จมาตั้งแต่อดีตนั้น ก็ได้ทำให้ ALE ภายใต้แบรนด์ Alcatel-Lucent Enterprise นี้กลายเป็นผู้ให้บริการหลักทางด้านระบบเครือข่าย, การสื่อสาร และบริการสำหรับองค์กรให้แก่ลูกค้าทั่วโลกกว่า 830,000 ราย ALE นั้นมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก และให้ความสำคัญกับทุกภูมิภาคด้วยพนักงานมากกว่า 2,200 คนและพันธมิตรมากกว่า 2,900 รายใน 50 ประเทศทั่วโลก ที่ผ่านมา ALE ประสบความสำเร็จได้จากการช่วยให้องค์กรของคุณสามารถทำ Digital Transformation ในรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้ ด้วยการผสานรวมระบบ, ติดตั้งระบบวิเคราะห์ข้อมูล และนำเทคโนโลยี Mobile และ Internet of Things เข้ามาช่วยสร้างนวัตกรรมโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับนวัตกรรมที่จะมาต่อยอดในอนาคตเพิ่มเติม https://www.al-enterprise.com

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

จีเอเบิล ชี้ 3 Mega Trend ไอที เปลี่ยนโฉมธุรกิจองค์กรไทย พร้อมเป็น Tech Enabler ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต [PR]

ในยุคที่ธุรกิจองค์กรแข่งขันกันด้วยความเร็ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และผลกำไรที่มากขึ้น การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจรวมถึงผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจองค์กรต่างๆ กำลังมองหา เพราะการดำเนินธุรกิจองค์กรในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้าง Competitive Advantage เพื่อเป็นฐานในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งแน่นอนว่าอาวุธที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากการพัฒนาคนในองค์กรให้เรียนรู้ทักษะด้านเทคโนโลยีอยู่เสมอ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ตรงกับกระแสทิศทางเทรนด์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและตอบโจทย์ในการสร้างผลกำไรของแต่ละธุรกิจองค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมก็เป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้กัน

อาลีบาบา คลาวด์ เปิด ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สองในประเทศไทยมาพร้อมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อรองรับ Generative AI และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม [PR]

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองในประเทศไทย มุ่งเพิ่มสมรรถนะในการตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน generative AI และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำสู่ความยั่งยืน