ในอดีตนั้นเรามักเห็นตลาด Enterprise Wireless LAN แข่งขันกันที่การออก Wireless Access Point และ Wireless LAN Controller ที่รองรับมาตรฐานใหม่ๆ หรือสถาปัตยกรรมใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบต่างๆ กันเป็นหลัก แต่ในอนาคตนั้นระบบ Wireless LAN เหล่านี้จะไม่ได้แข่งขันกันในประเด็นเหล่านี้แล้ว แต่การส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานนั้นจะเป็นหัวใจหลัก และการแข่งขันพัฒนา AI เพื่อมาตอบโจทย์เหล่านี้ให้กับธุรกิจองค์กร ก็จะเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าจับตามองของวงการ IT นับถัดจากนี้!
ประสบการณ์การใช้ Wi-Fi ที่ดี จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการทำงาน และความมั่นคงน่าเชื่อถือของธุรกิจ
ระบบ Wi-Fi ที่เสถียร, ใช้งานได้ง่ายดาย และมั่นคงปลอดภัยนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่มีเฉพาะองค์กรที่ใส่ใจในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบ IT เท่านั้นอีกต่อไป แต่ด้วยการที่ทุกๆ องค์กรนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่การเป็น Digital Workplace การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำงานผ่านระบบเครือข่ายไร้สายที่มีคุณภาพนั้นก็ต้องกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทุกธุรกิจต้องมีเพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานให้ได้
ในอดีตเราอาจคุ้นเคยกับภาพของการที่พนักงานต้องพยายามดิ้นรนหาหนทางการทำงานเอาเองภายในองค์กรไม่ว่าระบบเครือข่ายจะมีปัญหามากเท่าใดก็ตาม แต่ในปัจจุบันที่แนวคิดในการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปนั้น การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายพื้นฐานที่มีคุณภาพและใช้งานได้อย่างมั่นใจก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งหากคนรุ่นใหม่นั้นไม่สามารถทำงานได้ด้วยปัญหาด้านความเสถียรของระบบเครือข่าย พวกเขาอาจมองว่าองค์กรนั้นไม่ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจเลือกที่จะย้ายงานแทนที่จะอดทนกับปัญหาเหล่านี้
ในทางกลับกัน การให้บริการ Wi-Fi แก่เหล่าลูกค้าของธุรกิจนั้นก็ไม่อาจทำอย่างไม่ใส่ใจเหมือนอย่างแต่ก่อน ที่ธุรกิจมี Wi-Fi เอาไว้เพียงเพื่อแค่ให้ได้ชื่อว่ามีบริการ Wi-Fi ฟรีสำหรับลูกค้า เพราะในปัจจุบันการเชื่อมต่อเครือข่ายได้นั้นหมายถึงธุรกิจในทุกย่างก้าว ดังนั้นหากธุรกิจใตต้องการที่จะให้บริการ Wi-Fi ฟรีสำหรับลูกค้า การส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในส่วนนี้ก็จะนำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ และ Wi-Fi ที่ดีก็จะสามารถต่อยอดด้านการรวบรวมข้อมูลหรือนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าได้ด้วยอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ด้วยบริบทของการที่ Wi-Fi นั้นไม่ได้เป็นระบบเครือข่ายที่มีไว้รองรับการใช้งานของพนักงานหรือลูกค้าเท่านั้น แต่ Wi-Fi ยังกลายเป็นช่องทางการเชื่อมต่อของเหล่าอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) หลักไปแล้ว ดังนั้นระบบ Wi-Fi ที่มีคุณภาพนั้นก็จะเป็นอีกเบื้องหลังสำคัญในการใช้งานอุปกรณ์ IoT สำหรับใช้งานภายในหรือสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าภายนอกองค์กรด้วยเช่นกัน
Wi-Fi ที่ไร้ AI อาจไม่ตอบโจทย์ด้านประสบการณ์การใช้งานได้อย่างเพียงพออีกต่อไป
อย่างไรก็ดี หากเราติดตามมาตรฐานต่างๆ ทางด้าน Wi-Fi ในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ แนวคิดหรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกนำมาปรับปรุงเป็นมาตรฐานทางด้าน Wi-Fi นั้นก็ไม่ได้เน้นไปที่เรื่องของประสบการณ์การใช้งานแต่อย่างใด เพราะมาตรฐานเหล่านั้นกลับมุ่งเน้นไปที่ประเด็นของความเร็ว, ความมั่นคงปลอดภัย, การใช้งานต่อเนื่องอย่างลื่นไหล และการประหยัดพลังงานของอุปกรณ์แต่ละชุดเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความง่ายดาย และขาดการบริหารจัดการในภาพรวมไป
ที่ผ่านมาเหล่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี Wi-Fi ทั่วโลกจึงต้องพัฒนาในสองประเด็นดังกล่าวกันขึ้นมาเอง แต่เทคโนโลยีเหล่านั้นก็ยังมีลักษณะเป็นแบบ Rule-based เป็นหลัก ทำให้ในยุคปัจจุบันที่ระบบเครือข่ายในธุรกิจต่างๆ มีขนาดใหญ่มากขึ้น และมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อมากขึ้นอย่างมหาศาลนี้ ไม่สามารถถูกตอบโจทย์ได้โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นอีกต่อไป
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดนั้นก็อย่างเช่น การที่ Aruba ออก Wireless Access Point รุ่นล่าสุดอย่าง Aruba 510 Series ที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6 หรือ 802.11ax ความเร็วสูง อีกทั้งยังมาพร้อมกับ WPA3, Zigbee และ Bluetooth 5 ให้พร้อมใช้งานตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ได้อย่างหลากหลาย แต่ Aruba เองก็ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีในฝั่ง AI เพื่อให้ระบบ Wireless LAN ของตนเองนั้นมีความคุ้มค่าสำหรับเหล่าธุรกิจองค์กรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
AI หัวใจสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การใช้ Wi-Fi ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน

ในอดีตนั้น Wi-Fi ขององค์กรมักเป็นเทคโนโลยีที่ถูกตั้งค่าตอนติดตั้ง แล้วทิ้งให้ระบบทำงานไปอย่างเสถียรเหมือนที่ทำการตั้งค่าเอาไว้ไปเรื่อยๆ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับการทำงานของอุปกรณ์ภายในระบบเลย ยกเว้นการปรับ Channel ความถี่ที่ใช้เพื่อไม่ให้สัญญาณชนกัน, การยืนยันตัวตนและกำหนดสิทธิ์ให้กับผู้ใช้งาน และการทำงานทดแทนเมื่อมีอุปกรณ์ใดหยุดทำงานไป
แต่ปัจจุบันนี้เมื่อ AI ได้เข้ามามีบทบาทในระบบเครือข่าย การนำข้อมูล Wi-Fi ไปให้ AI ทำการวิเคราะห์นั้นก็ทำให้ Wi-Fi กลายเป็นเทคโนโลยีที่กลับมามีชีวิตชีวาและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่ง ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
1. ให้ AI ช่วยเสริมความเสถียรให้กับ Wi-Fi

Aruba NetInsight นั้นคือเทคโนโลยี AI สำคัญหนึ่งที่จะมาช่วยเหล่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายในการทำหน้าที่ดูแลและตรวจสอบการทำงานของระบบ Wi-Fi ให้มีความเสถียนทนทาน และปรับปรุงระบบเครือข่ายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมาะสมต่อพฤติกรรมการใช้งานจริงของผู้ใช้งาน โดยอาศัยข้อมูลการเชื่อมต่อใช้งานของผู้ใช้งาน รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่ายเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น พฤติกรรมของผู้ใช้งาน, ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้งาน, ต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น และอื่นๆ นั่นเอง
AI มีบทบาทสำคัญใน Aruba NetInsight เป็นอย่างมาก เพราะการค้นหา Pattern ของปัญหาที่เกิดขึ้นจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมจากผู้ใช้งานทั่วโลกนั้นก็ต้องอาศัย AI ในขณะที่การทำความเข้าใจการใช้งานระบบเครือข่ายของแต่ละธุรกิจองค์กรซึ่งมีพฤติกรรมที่ต่างไปและสามารถให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงระบบเครือข่ายให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้นั้น ก็ต้องอาศัย AI เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ Aruba NetInsight จึงทำหน้าที่เสมือนกับเป็นผู้ดูแลระบบแบบ AI ที่จะคอยสอดส่องระบบเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลผู้ใช้งานทุกคนให้มีประสบการณ์การใช้งานที่ดีอยู่เสมอนั่นเอง ซึ่ง Aruba ก็ได้ตั้งชื่อโซลูชันนี้ของ Aruba NetInsight เอาไว้ว่า Analytics & Assurance
2. ประหยัดพลังงาน ลดการใช้ไฟฟ้า ด้วยการวิเคราะห์ของ AI

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือประเด็นด้านการใช้พลังงานของระบบเครือข่าย หากระบบเครือข่ายของคุณมีขนาดไม่ใหญ่มากนักก็อาจไม่เห็นประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญ แต่ลองจินตนาการถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอาคารหรือสาขาจำนวนมาก, ห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมที่ต้องติดตั้ง Access Point หลายร้อยชุดเพื่อให้บริการลูกค้า ไปจนถึงสนามบินที่ต้องมีพื้นที่ครอบคลุมขนาดใหญ่ และธุรกิจ ISP หรือ Mobile Operator ที่อาจต้องติดตั้ง Access Point ทั่วประเทศหลายหมื่นชุด ก็อาจเข้าใจได้ถึงค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงจนน่าตกใจ
โจทย์นี้คืออีกโจทย์หนึ่งที่ Aruba NetInsight ให้ความสำคัญและนำมาสร้างเป็นโซลูชัน Green AP โดย AI ใน Aruba NetInsight ที่ได้รวบรวมและทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งานภายในระบบเครือข่ายนั้น จะทำการควบคุมการเปิดปิด Access Point ให้โดยอัตโนมัติเอง เพื่อให้ Access Point นั้นไม่จำเป็นต้องทำงานหนักตลอดในช่วงที่ไม่ได้มีผู้ใช้งานเชื่อมต่อ อย่างเช่น ตอนกลางคืนที่ไม่มีใครเดินห้าง เป็นต้น ซึ่งแนวทางนี้ก็จะสามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถลดค่าไฟได้อย่างมหาศาล และยังสามารถยืดอายุการใช้งานของ Access Point ให้ยืนยาวยิ่งขึ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน
3. เสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับ Wi-Fi ด้วย AI ที่ประเมินความเสี่ยงได้จากข้อมูล

ความมั่นคงปลอดภัยก็เป็นเรื่องที่ทุกๆ องค์กรละเลยไม่ได้อีกต่อไป และ Aruba IntroSpect ก็คือเทคโนโลยี Machine Learning ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ด้านความมั่นคงปลอดภัยภายในระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ ช่วยปกป้องระบบเครือข่ายจากภัยคุกคามที่เกิดจากภายในองค์กร หรือการถูกโจมตีต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว ด้วยการรวบรวมข้อมูลการเข้าถึงและใช้งานระบบเครือข่ายในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การยืนยันตัวตน, การเชื่อมต่อแบบ Remote, การพยายามเข้าถึงทรัพยากรสำคัญในระบบเครือข่าย, การใช้งานบริการ Cloud และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อจำแนกผู้ร้ายในเครือข่ายออกจากผู้ใช้งานทั่วไป และทำการยับยั้งพฤติกรรมอันตรายเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที
นวัตกรรม AI ใหม่ๆ เพื่อเสริมประสบการณ์การใช้งานระบบเครือข่าย ยังคงถูกพัฒนาและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน
3 แนวทางข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่เทคโนโลยีด้าน AI ที่ Aruba เปิดตัวออกมาแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งแนวโน้มของเหล่าผู้พัฒนาระบบเครือข่ายหลังจากนี้ AI จะถือเป็นอีกหนึ่งมุมที่ใช้ในการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากยิ่งขึ้นในอนาคตเพื่อใช้ในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทั้งเหล่าผู้ใช้งานระบบ Wi-Fi และเหล่าผู้ดูแลระบบ Wi-Fi สำหรับภาคธุรกิจ และเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เกิดขึ้นใหม่ทุกๆ วัน ทั้งยังมีวิวัฒนาการไปตามข้อมูลรูปแบบใหม่ๆ ที่ถูกนำมาใช้งานวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ถือว่าน่าจับตามองไม่น้อยและเป็นสีสันใหม่ๆ ให้กับวงการระบบเครือข่าย ที่เหล่าองค์กรไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป
สนใจติดต่อ Aruba ได้ทันที
ผู้ที่สนใจโซลูชันระบบ Wireless LAN, LAN และ Security สำหรับองค์กร หรือต้องการทดสอบเทคโนโลยี AI สำหรับช่วยเหลือในการดูแลรักษาระบบเครือข่าย สามารถติดต่อทีมงาน Aruba ได้ทันทีที่ Email: aruba.th@hpe.com