
ภายในงาน Dell Technologies Forum 2019 คุณนพดล ปัญญาธิปัตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Dell Technologies ได้ออกมาเปิดเผยถึง “อนาคตของการใช้ชีวิตที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน (Future of Connected Living)” ซึ่งเป็นงานวิจัยใหม่ที่สำรวจว่า Emerging Technologies จะเปลี่ยนแปลงบริบทหรือปฏิรูปรูปแบบของการดำรงชีวิตของเราในปี 2030 อย่างไร โดยสรุปเป็น 5 ข้อ ดังนี้

1. Networked Reality
Networked Reality หรือเครือข่ายของระบบเสมือนจริง กล่าวคือ ในอีก 10 ปีข้างหน้า โลกเสมือนจริง (Virtual Reality) หรือโลกไซเบอร์ (Cyberspace) จะซ้อนทับกันกับโลกแห่งความเป็นจริงที่มนุษย์อาศัยอยู่ โดยมีสาเหตุมาจากการที่สภาพแวดล้อมดิจิทัลขยายออกไปเกินกว่าโทรทัศน์ สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์ในการแสดงผลอื่นๆ ทำให้มนุษย์สามารถก้าวข้ามไปมาในแต่ละโลกได้อย่างอิสระและไร้รอยต่อ
2. Connected Mobility and Networked Matter
ยานยนต์จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย อาจกล่าวได้ว่าในอนาคตยานยนต์จะกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่เคลื่อนที่ได้ และมีความชาญฉลาด มนุษย์สามารถวางใจให้ยานยนต์เหล่านี้พาไปส่งถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่ต้องกังวลว่าจะชนอะไร เพราะยานยนต์สามารถสื่อสารและทราบตำแหน่งของกันทั้งหมด รวมไปถึงสามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่าเมื่อไหร่จะต้องเข้าศูนย์เพื่อตรวจสภาพ
3. From Digital Cities to Sentient Cities
เมืองดิจิทัลในปัจจุบันจะพัฒนาสู่เมืองที่รับรู้ความรู้สึกได้ โดยอาศัย Smart Objects และอุปกรณ์ IoT รวมไปถึงมีระบบรายงานผลด้วยตนเอง ส่งผลให้เมืองรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจราจรหรือมลภาวะ ทั้งยังสามารถสื่อสารกันเพื่อบริหารจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้
4. Agents and Algorithms
มนุษย์จะได้รับการดูแลจาก “ระบบปฏิบัติการเพื่อการดำรงชีวิต (Operating System of Living)” ที่เป็นของตัวเอง ที่สามารถคาดเดาถึงความต้องการของเราและให้การสนับสนุนภาระกิจต่างๆ ในแต่ละวันได้แบบเชิงรุก อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์จะมีผู้ช่วนส่วนตัวในอนาคตที่จะทำให้มีเวลาว่างไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้น
5. Robot with Social Lives
หุ่นยนต์จะกลายมาเป็นหุ้นส่วนในชีวิตของมนุษย์ ช่วยเพิ่มทักษะและขยายขีดความสามารถด้านต่างๆ ทั้งยังแบ่งปันความรู้ใหม่ที่ได้รับไปยัง Social Robot Network เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและความก้าวหน้าแบบเรียลไทม์
งานวิจัยนี้ Dell Technologies จัดทำขึ้นผ่านความร่วมมือกับ Institute for the Future (IFTF) และ Vanson Bourne โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้นำทางธุรกิจ 1,100 คนใน 10 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน

Pang Yee Beng, Senior Vice-president, Sales, South Asia ของ Dell Technologies ยังกล่าวเสริมถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอนาคตว่า ข้อมูลจะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าและมีค่ามากกว่าน้ำมันมาก เนื่องจากเราสามารถนำมาใช้สร้างมูลค่าหรือต่อยอดธุรกิจต่อไปได้ และเมื่อเรามีข้อมูลเพียงพอ AI ก็จะสามารถแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ กลายเป็นหุ่นยนต์ที่เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มีความซ้ำซ้อนแต่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น งาน Audit จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ อย่างไรก็ตาม ในปี 2030 จะยังคงมีงานประเภทใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาแทนที่สิ่งที่หุ่นยนต์จะกระทำแทนมนุษย์ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ Yee Beng ยังให้ความเห็นว่า นโยบายของรัฐบาล (Government Policies) จะเป็นทั้งตัวผลักดันและตัวยับยั้งการทำ Digital Transformation รัฐบาลจะต้องออกนโยบายที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสนับสนุนให้เทคโนโลยีสามารถพัฒนาต่อไปได้ แต่ก็ต้องมีความเข้มงวดเพียงพอเพื่อให้มีความมั่นคงปลอดภัยต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
“พันธกิจอันดับหนึ่งของ Dell Technologies คือ Technology Driving Human Progress หรือก็คือการนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อที่จะขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ นี่คือสิ่งที่เราทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้” — คุณนพดลกล่าวปิดท้าย