Software-defined storage systems from Lenovo อนาคตของสภาพแวดล้อมด้านไอทีที่ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์

ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจำนวนมากให้ความเห็นตรงกันว่าดาต้าเซ็นเตอร์ในปัจจุบันมีอินฟราสตรักเจอร์ที่ไม่อาจตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิตอลได้อีกต่อไป โดยโมเดลที่จะกลายเป็นต้นแบบแห่งอนาคตต้องพร้อมปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีความคล่องตัวทั้งการจัดการเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจและระบบเน็ตเวิร์ก ซึ่งนั้นคือ การจัดการอินฟราสตรักเจอร์ทุกอย่างผ่านซอฟต์แวร์หรือ Software-defined infrastructure หรือ SDI

หนึ่งในองค์ประกอบของ SDI ที่น่าสนใจ ณ ตอนนี้ คือ การกำหนดสตอเรจอินฟราสตรักเจอร์ด้วยซอฟต์แวร์ หรือ SDS ซึ่งแม้ว่าการเติบโตของ SDI จะยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่จากผลวิจัยล่าสุดของไอดีซี คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่ช้านี้

 

การจัดการไอทีด้วยการกำหนดผ่านซอฟต์แวร์หรือ Software-defined IT สามารถช่วยหลายๆ บริษัทปรับเปลี่ยนระบบดิจิตอลได้ตามแผน เปลี่ยนโฉมทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ความเร็วในการทำธุรกิจไปจนถึงความคล่องตัวในการจัดการสตอเรจข้อมูล

 

Credit: Lenovo

 

แม้ว่า SDI จะยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่หลายบริษัทก็มองเห็นศักยภาพในการอิมพลีเมนต์โซลูชันคลาวด์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไอที จากผลวิจัยของไอดีซีที่ศึกษาด้าน Software Defined Infrastructure ในประเทศเยอรมัน เมือปี ค.ศ. 2016 พบว่า “เริ่มมีการดำเนินงานเพื่อเปลี่ยนแปลงดาต้าเซ็นเตอร์สู่ SDI” โดยงานวิจัยนี้ได้เริ่มสำรวจเมื่อปีที่แล้วจากผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีจำนวน 252 ราย มาจากบริษัทในเยอรมันที่มีจำนวนพนักงานมากกว่า 250 ราย ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับ SDI และแผนงานของพวกเขาต่อโครงการนี้

แนวคิด “การกำหนดผ่านซอฟต์แวร์” ได้ถูกเริ่มนำมาใช้ในหลายพื้นที่ ภายใต้แนวคิดของการจัดการอินฟราสตรักเจอร์โดยซอฟต์แวร์ หรือ Software-defined infrastructure (SDI หรือ SDX) ซึ่งถือเป็นหลักคิดย่อยภายใต้แนวคิดของ Software-defined data centre (SDDC) ซึ่งยังมีแนวคิด software-defined network (SDN) และ software-defined storage (SDS) อีกด้วย โดยแนวคิดทั้งหมดมีรากฐานเดียวกันจากการจัดการทรัพยากรในดาต้าเซ็นเตอร์แบบเวอร์ชวล (ทั้งเซิร์ฟเวอร์ สตอเรจและระบบเน็ตเวิร์ก) โดยติดตั้งทุกองค์ประกอบให้เป็นอัตโนมัติและบริหารจัดการจากส่วนกลาง

 

มิติใหม่แห่งความคล่องตัว

แก่นแท้สำคัญของแนวคิด SDI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอินฟราสตรักเจอร์ที่จัดการทุกทรัพยากรให้รวมอยู่ด้วยกันเป็นชั้นเดียว ไม่แบ่งแยกเป็นหลายชั้นตามความจริง ซึ่งถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการจัดการได้อย่างคล่องตัว และบ่อยครั้งที่เมื่อเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้ง SDI และส่วนประกอบอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในช่วงการพัฒนา เวนเดอร์มากมายจึงต่างพูดต่างเชียร์เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน “เทคโนโลยีและตลาด อยู่ในขั้นตอนที่แตกต่างกันมาก สังคมทั่วไปยังคงรับรู้แค่ว่าเรื่องพวกนี้พึ่งเกิดขึ้น” ที่ปรึกษาอาวุโสของไอดีซี แมทเธียส แซกเชอร์ กล่าว “จึงกลายเป็นการแข่งขันที่รุนแรงเพื่อแยกชิงตำแหน่งผู้นำในบางตลาด”

ดังนั้นหนึ่งในเรื่องที่ผู้ใช้ต้องประเมินอย่างจริงจังเกี่ยวกับ SDI ตามที่ไอดีซีวิจัยมาคือ การวางแผนการนำ SDI ไปประยุกต์ใช้จริง ซึ่งประโยชน์ของ SDI นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการรองรับการเติบโตของการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิตอล การอิมพลีเมนต์เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น ไดนามิกคลาวด์ บิ๊กดาต้า IoT และการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ ต่างต้องการความพร้อมใช้งานของสภาพแวดล้อมด้านไอทีที่คล่องตัวและยืดหยุ่นอย่างมาก

แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังของหลายๆ องค์กร ที่จะเปลี่ยนแปลงไอทีอินฟราสตรักเจอร์เดิมๆ ให้เป็นโมเดล SDI ในแบบทันทีทันใดได้ ดังนั้นบริษัทส่วนมากต่างก็พยายามหาวิถีทางในการใช้ SDI ผ่านโครงการต่างๆ ที่มุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนไอทีอินฟราสตรักเจอร์ของตนที่ละส่วน ในหลายๆ กรณี นั้นคือ ส่วนที่เป็นสตอเรจ โดยมีสองเหตุผลหลักสำคัญคือ อย่างแรก จำนวนข้อมูลที่ไหลเข้ามาอย่างมหาศาลในยุคดิจิตอล คือ ตัวแปรสำคัญที่กดดันให้ธุรกิจต้องลงทุนเพิ่มความจุของสตอเรจ และสองคือ ระบบสตอเรจแบบดั่งเดิมไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามการเปลี่ยนแปลงของแอพพลิเคชันและโมเดลธุรกิจในยุคดิจิตอล

 

ประโยชน์ของ SDI นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการรองรับการเติบโตของการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิตอล

หลายบริษัทใส่ใจเรื่องการเติบโตของข้อมูลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความท้าทายสำคัญที่สุดสำหรับสภาพแวดล้อมด้านสตอเรจของพวกเขา

จากการศึกษาล่าสุดของ Enterprise Strategy Group (ESG) พบว่าหลายบริษัทใส่ใจเรื่องการเติบโตของข้อมูลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความท้าทายสำคัญที่สุดสำหรับสภาพแวดล้อมด้านสตอเรจของพวกเขา อย่างไรก็ดี ความท้าทายนี้ไม่สามารถจัดการได้ด้วยการอัพเกรดแบบเดิม ผู้เขียนรายงานนี้ สก็อต ซินแคลร์ อธิบายในหมายเหตุว่า “สถาปัตยกรรมสตอเรจแบบเดิมที่เคยคิดว่าจะรองรับการขยายตัวได้นั้น ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว”

ซินแคลร์ยังตรวจสอบแนวคิดและโอกาสของ SDS ในรายงาน Lenovo: Software-defined Storage for a New Generation of Information Technology พบว่าการเติบโตของข้อมูลมาจากเทคโนโลยีอาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ โซเชียลมีเดีย IoT หรือบิ๊กดาต้า คือจุดเปลี่ยนสำคัญไม่เพียงแต่ปริมาณเท่านั้น แต่ยังหมายถึงคุณภาพของข้อมูลเนื้อหาเชิงดิจิตอลด้วย “ในขณะที่ปริมาณงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ฝ่ายไอทีจำเป็นต้องมีสถาปัตยกรรมสตอเรจที่สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการทางธุรกิจ” ซินแคลร์ กล่าว ดังนั้นเมื่อเทียบข้อมูลชุดนี้แล้ว ประโยชน์ของ SDS จึงชัดเจนยิ่งขึ้น ซินแคลร์ สรุปในตอนท้ยว่า โซลูชัน SDS ไม่เพียงแต่เพิ่มการรองรับการขยายตัว แต่ยังปรับปรุงความคล่องตัว ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพของทั้งระบบสตอเรจด้วย “SDS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประยุกต์ฮาร์ดแวร์สตอเรจของตนได้ง่ายขึ้นและแม่นยำตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและโหลดการทำงานได้ดียิ่งขึ้น”

เมาโร ลอตติ ผู้อำนวยการ ฝ่ายผลิตภัณฑ์สตอเรจและผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ EMEA ที่เลโนโว่ ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดสตอเรจไว้ว่า “แอพพลิเคชันดิจิตอลรุ่นใหม่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ข้อมูล ข้อมูลอาจไม่พร้อมใช้งานในลักษณะมีโครงสร้างชัดเจนเหมือนเฉกเช่นเดิม ซึ่งนั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความต้องการระบบสตอเรจอย่างมาก” ลอตติ ยังแนะนำบริษัทต่างๆ ให้พิจารณาใส่ใจถึงวิธีที่จะทำอย่างไรให้ไอทีอินฟราสตรักเจอร์ของตนเองสามารถปรับใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีสตอเรจล่าสุดได้”

ในกรณีนี้ SDS จึงตอบโจทย์ทุกประการ ประการแรก บริษัททั้งหลายสามารถใช้เพื่อเปลี่ยนสตอเรจอินฟราสตรักเจอร์ของตนเองให้เรียบง่ายขึ้น ทั้งในเชิงของฮาร์ดแวร์และบุคลากร จนถึงปัจจุบัน หลายบริษัทต่างต้องการทีมที่มีทักษะหลากหลายเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรด้านสตอเรจของตน ต้องมีทีมบริหารเซิร์ฟเวอร์ ทีมบริหารเน็ตเวิร์ก และทีมจัดการสตอเรจ แต่เมื่อเป็น SDS พวกเขาสามารถทำทั้งหมดได้ ประหยัดทั้งเวลาและบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญ ผลลัพธ์คือ ความรวดเร็วในการรองรับแอพพลิเคชันใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นที่สูงขึ้น และระยะเวลาเข้าสู่ตลาดที่สั้นลง และเพราะเป็นระบบที่เรียงง่าย ทำให้การดูแลและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงด้วยเช่นกัน

 

โซลูชัน SDS ขั้นสูงจากเลโนโว่

ในช่วงเริ่มต้นของ SDS ไม่มีคำจำกัดความของมาตรฐานว่าคืออะไร ไม่มีรายการฟีเจอร์ความสามารถที่แยกแยะเฉพาะให้เป็นระบบ SDS “ปัจจุบัน SDS หมายถึง กลุ่มของโซลูชันสตอเรจจำนวนมาก และใช้ประโยชน์จากสตอเรจเวนเดอร์หลากหลายเจ้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสตอเรจทุกรูปแบบ” นักวิเคราะห์ ESG สก็อต ซินแคลร์ กล่าว ในขณะที่เวนเดอร์บางรายใช้จุดขายที่ความคุ้มค่าในด้านต้นทุนของ SDS อีกหลายรายก็ใช้จุดเด่นที่ความยืดหยุ่นสูงและมีความคล่องตัว อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่คล้ายกันที่ทุกโซลูชันต้องมี คือ การจัดการสตอเรจในลักษณะเชิงนามธรรม แทนที่กรจัดการผ่านฮาร์ดแวร์เช่นเดิม ทำให้สตอเรจอินฟราสตรักเจอร์ใหม่มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น ประยุกต์ใช้งานได้สะดวกขึ้น และรองรับการขยายตัว ไม่ว่าจะจัดการหรือขยายขนาดก็ทำได้อย่างง่ายดาย

ตามที่นักวิเคราะห์ที่ ESG ได้ให้การศึกษาไว้ เลโนโว่คือหนึ่งในไม่กี่ผู้ให้บริการด้านโซลูชัน SDS ขั้นสูง และในฐานะผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ เลโนโว่จึงมุ่งเน้นไปที่ความพยายามในการพัฒนาด้านสตอเรจ และการอินทิเกรตเชื่อมต่อกับโซลูชัน SDS ที่ทันสมัย “ต้องขอขอบคุณในความร่วมมือกับผู้ให้บริการโซลูชัน SDS ชั้นนำ อาทิ Nexenta และ Cloudian ทำให้เลโนโว่มีผลิตภัณฑ์ในตระกูลโซลูชัน SDS ที่ตอบโจทย์ความสามารถด้านสตอเรจอย่างครบถ้วน” ซินแคลร์ กล่าว

ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์จากเลโนโว่ เมาโร ลอตติ อธิบายเพิ่มเติมว่า “เราไม่ใช่ผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ ดังนั้นเราจึงไม่ต้องรับผิดชอบเป็นกังวลกับผลิตภัณฑ์สตอเรจดั้งเดิม” สิ่งนี้ช่วยให้เลโนโว่สามารถจับมือสร้างพันธมิตรร่วมมือกับเวนเดอร์ได้อย่างหลากหลายและมีอิสระในการพัฒนาโซลูชันสตอเรจรุ่นใหม่ ดังนั้นด้วยการผสานประสบการณ์ของตัวเองที่มีในตลาดเซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์พร้อมด้วยซอฟต์แวร์จากเวนเดอร์โซลูชัน SDS ชั้นนำ ทำให้เลโนโว่สามารถสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์ครบวงจรได้อย่างแท้จริง

กลุ่มผลิตภัณฑ์ StorSelect ของเลโนโว่ ในปัจจุบันประกอบด้วย 3 โซลูชันด้าน SDS ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจที่แตกต่างกัน:

 

 

  • DX8200N: พัฒนาร่วมกับ Nexenta เป็นอุปกรณ์สตอเรจสำเร็จรูปที่รองรับโพรโตคอลอย่างหลากหลาย ทั้ง FC, iSCSI, NFS และ SMB โดยเป้าหมายออกแบบมาเพื่อการจัดการทรานส์แอกชันประสิทธิภาพสูงอย่างเวอร์ชวลไรเซชันและฐานข้อมูล ด้วยการรองรับมัลติโพรโตคอล จึงเหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมแบบดั้งเดิมหรือสำหรับการแบ็กอัพ
  • DX8200C: พัฒนาร่วมกับ Cloudian โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างระบบสตอเรจแบบออปเจ็กต์ เพื่อรองรับการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรองรับการทำงานร่วมกับ Amazon Simple Storage Service (Amazon S3) จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ และยังตอบโจทย์การแบ่งปันข้อมูลทั่วไปทั้งในระดับภายในดาต้าเซ็นเตอร์หรือระดับภูมิภาค
  • DX8200D: พัฒนาโดย DataCore เป็นสตอเรจสำเร็จรูปที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างบล็อกหรือไฟล์สตอเรจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ยังคงบริหารจัดการได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้เหมาะสำหรับโซลูชันแบบเทิร์นคีย์ที่ง่ายต่อการขยายตัว เริ่มต้นด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าระบบสตอเรจแบบเดิม โดยยังคงให้ความพร้อมใช้งาน เสถียรภาพและฟังก์ชันการทำงานที่ตอบโจทย์

 

เมาโร ลอตติ จากเลโนโว่ เชื่อมั่นว่าการพัฒนา SDS มีอนาคตที่สดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาคาดการณ์ว่าจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ในการจัดการสตอเรจมากขึ้น แม้ว่าระบบเก่ายังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ในปัจจุบันก็ตาม แต่เขาประเมินว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เฟสแบบมาตรฐานเปิดเพิ่มขึ้น “สิ่งนี้จะช่วยให้เราสร้างระบบการจัดการแบบองค์รวม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถรับสภาพแวดล้อมด้านสตอเรจทั้งหมดได้ผ่านอินเทอร์เฟสเดียว”

อีกส่วนหนึ่งของการเติบโตที่มีแนวโน้มในอนาคตคือ สตอเรจแบบแฟลซ แม้ว่าแฟลซอาเรย์ จะพร้อมใช้งานแล้วในปัจจุบัน แต่ลอตติ คาดการณ์ว่าจะมีการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากตามความต้องการของผู้ใช้ที่ไม่เพียงแต่ต้องการความยืดหยุ่น แต่ยังคงต้องการความรวดเร็วนการตอบสนอง เพราะความล่าช้าในการเข้าถึงข้อมูลจะกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ฮาร์ดไดร์ฟแบบโซลิกสเตจ ช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงได้อย่างมหาศาล

และในท้ายที่สุด ลอตติ เห็นว่ายังมีอนาคตที่สดใสในการพัฒนาระบบอัตโนมัติในด้านนี้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลเชิงนโยบาย การย้ายข้อมูลอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความต้องการด้านประสิทธิภาพ และการจัดการข้อมูลซ้ำซ้อนอย่างชาญฉลาด รวมถึงกลไกการเตรียมข้อมูลล่วงหน้า

“SDS เป็นเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนสูง แต่ตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทมากมายอย่างจับต้องได้” ลอตติ กล่าวว่าการพัฒนาพึ่งเริ่มต้น “SDS ไม่เพียงตอบโจทย์การขยายสภาพแวดล้อมของสตอเรจ แต่ SDS ถือเป็นมิติใหม่ของการจัดการข้อมูลอย่างแท้จริง”

ข้อมูลเพิ่มเติม ศึกษาได้ที่ think-progress.com

 

มุมมองขององค์กรต่างๆ กับ Software-defined Storage

ได้มีการทำแบบสอบถามในประเด็นคำถามว่า อะไรแสดงถึงมุมมองของคุณต่อ Software-defined Storage ได้มากที่สุด (แบ่งเปอร์เซ็นต์ตามจำนวนผู้ตอบ N=373) และได้รับผลการตอบรับดังต่อไปนี้

  • เรายังไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับ SDS และไม่สนใจในเทคโนโลยี SDS ณ เวลานี้  3%
  • เราได้ศึกษาเกี่ยวกับ SDS แล้ว แต่ยังไม่สนใจในเทคโนโลยี SDS ณ เวลานี้ 1%
  • ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ SDS เลย 13%
  • องค์กรของเราสนใจในแนวคิด SDS และกำหนดให้เป็นกลยุทธ์ระยะยาว แต่เรายังไม่พร้อมเริ่มต้นในเวลานี้ 23%
  • องค์กรเราเตรียมลงทุน SDS เป็นกลยุทธ์ระยะยาว และเราได้เริ่มดำเนินการอิมพลีเมนต์ SDS ไปแล้ว 20%
  • องค์กรของเรา องค์กรเราเตรียมลงทุน SDS เป็นกลยุทธ์ระยะยาว และเราอยู่ระหว่างการประเมินทางเทคโนโลยี การวางแผนสำหรับเทคโนโลยี SDS 40%

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

สตาร์ทอัพเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ Lucidity ระดมทุนได้ 21 ล้านดอลลาร์

Lucidity.cloud สตาร์ทอัพจากอินเดียที่ช่วยให้การจัดการเก็บข้อมูลแบบมัลติคลาวด์เป็นไปโดยอัตโนมัติ เปิดเผยว่า บริษัทสามารถระดมทุนได้ 21 ล้านดอลลาร์ในรอบ Series A ที่นำโดย WestBridge Capital หลังจากบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้จนถึงปัจจุบัน Lucidity มีเงินทุนรวม …

OpenAI เตรียมเปิดตัว GPT-5 ในไม่กี่เดือนข้างหน้า และ GPT-4.5 อีกภายในไม่กี่สัปดาห์

Sam Altman ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OpenAI เผยผ่านโพสต์บน X ว่าบริษัทมีแผนเปิดตัวระบบปัญญาประดิษฐ์ระดับเรือธงรุ่นถัดไปของบริษัท คือ GPT-5 ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า พร้อมแบ่งปันรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับนักพัฒนา ChatGPT