IBM Flashsystem

ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ให้คุ้มค่า ติดตามการทำงานอย่างมั่นใจด้วยโซลูชัน EcoStruxure IT Expert จาก Schneider Electric

ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นศูนย์รวมระบบเพื่อการให้บริการไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล บริการ การเชื่อมต่อต่างๆที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก อย่างไรก็ดีการให้บริการทั้งหมดนี้จะต้องถูกควบคุมสภาพแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อมูลกำหนดเพื่อให้ฮาร์ดแวร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้เองดาต้าเซ็นเตอร์จึงยังพูดถึงเรื่องของบริการจัดการคุณภาพของไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ ความเย็น ความชื้น ระบบถ่ายเทความร้อน ตลอดจนมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งปกติแล้วในดาต้าเซนเตอร์เองจะมีซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้อยู่ที่เรียกว่า Data Center Infrastructure Management (DCIM) สำหรับในบทความนี้ท่านจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโซลูชัน EcoStruxure IT Expert จาก Schneider Electric ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับกับสถาการณ์ของดาต้าเซ็นเตอร์ในปัจจุบันที่เรียกว่า DCIM 3.0

พัฒนาการสู่ DCIM 3.0 และความหมายที่แท้จริงของ DCIM

Gartner ได้นิยามความหมายของโซลูชัน DCIM ว่า ‘เครื่องมือ’ ที่ใช้มอนิเตอร์ เป็นมาตรวัด บริหารจัดการหรือควบคุมการใช้ดาต้าเซ็นเตอร์และการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยหมายรวมถึงอุปกรณ์ไอทีทั้งหมดเช่น เซิร์ฟเวอร์ สโตเรจ อุปกรณ์เครือข่าย ตลอดจนส่วนประกอบที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเช่น หน่วยจ่ายไฟ เครื่องระบบปรับอากาศ เป็นต้น อย่างไรก็ดี Schneider Electric แบ่งพัฒนาการของ DCIM เป็น 3 ยุคดังนี้

DCIM 1.0 เริ่มต้นตั้งแต่หลายสิบปีก่อนที่เครื่องพีซีเซิร์ฟเวอร์ต้องการระบบ UPS เข้ามาช่วยและต้องมีซอฟต์แวร์เข้ามาบริหารจัดการ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ซอฟต์แวร์เพื่อมอนิเตอร์และติดตามอุปกรณ์ถือกำเนิดขึ้น ปีค.ศ. 2000 จำนวนพีซีและเซิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เกิดความต้องการของดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งความท้าทายที่ตามมาคือผู้ประกอบการต้องจัดการความท้าทายด้านพื้นที่ ระบบไฟฟ้า ความเย็น โดยต้องตอบคำถามเรื่องประสิทธิภาพให้เพียงพอ ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของซอฟต์แวร์ DCIM ยุค 2.0 ที่ตอบสนองความต้องการใหม่อย่างเช่น PUE รวมถึงความสามารถในการวางแผนและแปลนของดาต้าเซนเตอร์ด้วย

20 ปีต่อมาดาต้าเซ็นเตอร์มีความสำคัญกว่าที่เคยเพราะต้องรองรับการให้บริการที่สำคัญยิ่ง องค์กรต่างตื่นตัวกับเรื่อง ความยั่งยืน ความมั่นคงปลอดภัยและความทนทาน ตลอดจนต้องมองภาพให้ไกลไปถึงผู้ใช้และแอปพลิเคชัน โดย Schneider Electric มองเห็นปัญหาเหล่านี้ดีจึงได้คิดค้นซอฟต์แวร์ที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านั้นผ่านโซลูชัน EcoStruxure IT นั่นเอง โดยรองรับการใช้ทั้งแบบ On-prem หรือ Cloud ทั้งนี้ก็เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไซต์มีการกระจายตัวออกไป

DCIM ถูกแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ 1.) Monitor & Automation โดยส่วนแรกกล่าวถึงการติดตามและความเป็นอัตโนมัติของห้องปฏิบัติการด้านไอทีและสิ่งอำนวนความสะดวกด้านไฟฟ้า การควบคุมสภาพแวดล้อม และความมั่นคงปลอดภัย ทั้งหมดนี้เพื่อการันตีว่าดาต้าเซ็นเตอร์จะสามารถให้บริการได้ตามการออกแบบ รวมถึงสามารถแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุตามค่าที่กำหนดและจัดทำรายงานแบบเรียลไทม์ได้ 2.) Planning & Implementation ช่วยเหลือให้ผู้ดูแลไอทีปรับเปลี่ยนดาต้าเซ็นเตอร์ หรือการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่เข้ามาและติดตามสินทรัพย์ เนื้อหาต่อไปนี้เราโฟกัสเครื่องมือด้าน Monitoring ที่ชื่อว่า EcoStruxure IT Expert

ฟีเจอร์สำคัญของ EcoStruxure IT Expert

EcoStruxure IT Expert เป็นเครื่องสำหรับมอนิเตอร์ระบบภายในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีส่วนประกอบ 3 ส่วนหลักๆตามภาพประกอบคือ ซอฟต์แวร์สำหรับรวบรวมข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ (EcoStruxure IT Gateway) การติดตั้งก็ง่ายมากเพียงแค่ผู้สนใจดาวน์โหลดซอฟต์แวร์(ฟรี)นี้เข้าไปติดตั้งในเครื่องบนดาต้าเซ็นเตอร์ของตน โดยสามารถรองรับข้อมูลผ่านโปรโตคอลมาตรฐานทางอุตสาหกรรมเช่น SNMP, Modbus และอื่นๆ กล่าวคือรองรับอุปกรณ์จากยี่ห้อต่างผ่านโปรโตคอลมาตรฐาน จากนั้นตัว Gateway จะนำส่งข้อมูลสู่คลาวด์ในลำดับถัดไป (data lake)

ข้อดีของระบบคลาวด์คือทำให้ผู้จัดการดาต้าเซนเตอร์สามารถดูแลระบบจากที่ใดก็ได้ ในทางกลับกันไม่ว่าดาต้าเซนเตอร์จะอยู่ที่ใดของโลกก็ถูกจัดการได้จากส่วนกลางในหน้าจอเดียว อีกทั้งกำจัดความยุ่งยากของ DCIM แบบเดิมในเรื่องของการดูแลเซิร์ฟเวอร์เช่น ฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ ไปจนถึงการอัปเดตเวอร์ชันของแอปพลิเคชัน ไม่เพียงเท่านั้น EcoStruxure IT ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชันบนมือถือที่ใช้ได้บน iOS และ Android เรียกได้ว่าเป็น DCIM ยุค 3.0 ที่เน้นความคล่องตัวอย่างแท้จริง

ฟีเจอร์ของ EcoStruxure IT Expert มีดังนี้

1.) Dashboard 

เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถเข้าใจถึงภาพรวมสถานการณ์ภายในองค์กร หน้า Dashboard จะคอยปักหมุดเหตุการณ์สำคัญอย่างแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งท่านสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ทันที โดยมีการแบ่งระดับตามระดับความร้ายแรง และรายชื่อติดต่อผู้ดูแลในเคสเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีหน้าแผนที่ที่แสดงพิกัดของอุปกรณ์ได้ว่าไซต์อยู่ที่ใด โดยผู้ใช้งานสามารถสร้างพื้นที่ย่อยได้อีกหลายระดับตอบความต้องการ รวมถึงสามารถปรับแต่งมุมมองของ Dashboard เองได้ด้วย

2.) Inventory & Benchmarking

คลังข้อมูลเก็บรวมรวบอุปกรณ์ที่ทุกอย่างในระบบที่เราทำการติดตาม โดยท่านสามารถค้นหาอุปกรณ์ได้ตามชนิดการทำงาน ยี่ห้อ โมเดล หรือการแจ้งเตือนที่เกิดขึ้น เลขไอพี และไซต์ที่อุปกรณ์ตั้งอยู่ 

เมื่อคลิกเข้าไปแล้วท่านสามารถติดตามรายละเอียดย่อยได้เช่น เฟิร์มแวร์เวอร์ชัน เลขซีเรียล และมาตรวัดต่างๆ ผู้รับผิดชอบดูแล ซึ่งในอุปกรณ์บางประเภทท่านสามารถชมการเปรียบเทียบกับการใช้งานของลูกค้าอื่นๆในสารระบบของ EcoStruxure Data Lake เพื่อดูว่าอุปกรณ์ตัวนี้มีสถานะเป็นอย่างไรเทียบกับคนอื่นที่ใช้งานเหมือนกัน ดังภาพตัวอย่างด้านล่างจะแสดงการเปรียบเทียบในผลิตภัณฑ์ UPS 

3.) Alarming

หน้านี้จะแสดงถึงการแจ้งเตือนที่เกิดขึ้นของระบบ โดยผู้ใช้งานสามารถกรองการค้นหาได้หลากหลายมุมมองเช่นเดียวกับเมนู Inventory ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ผู้ดูแลสามารถใช้เพื่อค้นหาต้นตอของปัญหาได้อย่างแท้จริง ในกรณีของลิสต์ที่มากเกินไปท่านสามารถเลือกปิดการแจ้งเตือนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปได้ ในเมนูนี้ยังสามารตั้งค่าช่องทางการแจ้งเตือนได้อีกด้วยเช่น อีเมล หรือระบบออก Ticket ขององค์กร

4.) Management 

ผู้ใช้งานสามารถทำการโหลดคอนฟิคอุปกรณ์ได้ผ่านช่องทางนี้ รวมไปถึงการอัปเดตเฟิร์มแวร์ต่างๆ ซึ่งหมายถึงการบริหารจัดการอุปกรณ์ได้จากระยะไกลนั่นเอง

5.) Assessment

เมนูนี้มีความสามารถหลัก 2 ฟังก์ชันคือการพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพของการใช้งาน โดยระบบจะทำการประเมินสุขภาพของอุปกรณ์ ประเมินและแนะนำเกี่ยวกับอายุการใช้งาน ทำให้องค์กรสามารถวางแผนการเปลี่ยนอุปกรณ์ได้แบบ Proactive ก่อนเกิดเหตุ

ปกติแล้วอุปกรณ์ในดาต้าเซนเตอร์อาจหลุดเรื่องความมั่นคงปลอดภัย โดยพื้นฐานแล้วก็คือการใช้งานซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งในหน้า Security Assessment จะแสดงภาพรวมว่าการคอนฟิคเป็นอย่างไร มีอุปกรณ์จำนวนเท่าไหร่ที่ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์ หรือเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ ดังนั้นภาพเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยป้องกันดาต้าเซ็นเตอร์ขั้นพื้นฐาน

นอกจากความสามารถที่กล่าวมาแล้วท่านยังสามารถกำหนดขอบเขตการใช้งานโปรแกรมได้ผ่านเมนู Administration ว่าใครมีสิทธิ์ในการมองเห็นอะไรได้บ้าง ตลอดจนบังคับใช้การพิสูจน์ตัวตนแอคเค้าน์ด้วย 2 Factors Authentication มุมของการใช้งานข้อดีของการเป็น SaaS คือความยืดหยุ่นสูงเพราะ License การใช้งานจะถูกคิดตามจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องการมอนิเตอร์แบบรายปี

ในมุมของ Managed Service Provider ท่านสามารถแบ่งการมองเห็นของลูกค้าเป็นรายย่อยๆได้ โดยลูกค้าและผู้ให้บริการจะมองเห็นอุปกรณ์ได้เหมือนกัน ทำให้ MSP สามารถรับเหมาในการดูแลอุปกรณ์ได้ หรือสร้างเป็นบริการอื่นๆเข้ามาต่อยอดได้

สนใจทดสอบใช้งานหรือปรึกษาทีมงาน Schneider Electric

ท่านใดต้องการทดสอบโซลูชันท่านสามารถเข้าไปชมผ่านหน้าเมนู IT Expert Demo โดยไม่ต้องลงทะเบียนตามภาพด้านล่าง 

หรือหากต้องการทดลองแบบเต็มฟังก์ชันได้ฟรีถึง 30 วัน ที่ https://ecostruxureit.com/ecostruxure-it-expert/ 

EcoStruxure IT เป็นเพียงส่วนหนึ่งในโซลูชันคลาวด์ EcoStruxure เท่านั้น ท่านสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EcoStruxure ได้ที่ https://www.se.com/th/th/work/campaign/innovation/overview.jsp

หากท่านต้องการคำปรึกษาจาก Schneider Electric สามารถติดต่อทีมงานได้ที่ Contact Sales ทางทีมงานจะติดต่อกลับไปหาท่านอย่างเร็วที่สุด

About nattakon

จบการศึกษา ปริญญาตรีและโท สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ KMITL เคยทำงานด้าน Engineer/Presale ดูแลผลิตภัณฑ์ด้าน Network Security และ Public Cloud ในประเทศ ปัจจุบันเป็นนักเขียน Full-time ที่ TechTalkThai

Check Also

Dell เปิดตัว AI Server ใหม่ ใช้ชิป NVIDIA เร่งการปรับใช้ระดับองค์กร

Dell Technologies ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชัน Server ใหม่ที่ใช้ชิป Blackwell Ultra จาก NVIDIA เพื่อมุ่งหวังเร่งการปรับใช้ระบบ AI ขององค์กรได้ดียิ่งขึ้น

Amazon MSK พร้อมให้บริการที่ AWS Thailand Region แล้ว

ยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการ Cloud ยอดนิยม AWS ได้ประกาศให้ Amazon Managed Streaming for Apache Kafka (Amazon MSK) พร้อมให้บริการที่ Asia …