ตอนนี้เหล่า Broker รายใหญ่ในอเมริกาต่างกำลังถูกกดดันจากการมาของเทคโนโลยี Robo-Adviser ที่มีการใช้ Artificial Intelligence (AI) เข้ามาเรียนรู้พฤติกรรมของการลงทุนรูปแบบต่างๆ และให้คำแนะนำแก่เหล่านักลงทุนจากข้อมูล, สถิติ, ผลการวิเคราะห์และการทำนาย ทำให้เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่เหล่านักลงทุนขนาดเล็กไปจนถึง Broker รายใหญ่ด้วยเช่นกัน

Charles Schwab Corp. เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการใช้ Robo-Adviser เข้ามาช่วยวิเคราะห์การลงทุน และปัจจุบันนี้ก็มี Automated Portfolios ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านเหรียญ มากถึง 15% ของ Automated Portfolios ที่ดำเนินการโดยเหล่า Robo-Adviser เหล่านี้ทั้งหมด
ทางด้านธนาคารและสถาบันการเงินรายใหญ่อย่าง Morgan Stanley, Bank of America Corp. และ Wells Fargo & Co. ที่ใช้คนกว่า 46,000 คนในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นหลัก ต่างก็เริ่มพัฒนา Robo-Adviser มาช่วยให้พนักงานเหล่านี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงจะเปิดช่องทางแบบ Self-Service ให้ลูกค้ามาเลือกลงทุนได้ด้วยตัวเองตามคำแนะนำที่ต้องการได้อีกด้วย
หนึ่งในสาเหตุที่ Robo-Adviser มาแรงได้นั้น ก็เนื่องจากค่าธรรมเนียมในการลงทุนนั้นต่ำกว่ารูปแบบอึ่นๆ ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว และ A.T. Kearney ก็ได้ทำนายว่าบริการ Robo-Adviser นี้จะเติบโตไปจนดูแลการลงทุนที่มีมูลค่าถึง 2.2 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2020
ก็ต้องเริ่มจับตาดูกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับวงการการเงินหลังจากที่เทคโนโลยี AI ได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่แน่ๆ คนที่ทำงานในสายงานธนาคารและการลงทุนนี้ ก็คงต้องมีการปรับตัวกันอีกไม่น้อยในอนาคต และคนที่มีความรู้ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์, สถิติ และ AI ก็จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน