“ในธุรกิจเหล็ก ไม่มีใครที่มีเหล็กทุกประเภทในทุกเวลา ถ้าทำอย่างนั้นก็เตรียมเจ๊งได้”
ท่ามกลางการแข่งขันในโลกธุรกิจเราคงได้ยินแต่คำว่าทำอย่างไรที่จะชนะคู่แข่ง ทำอย่างไรที่เราจะดี โดดเด่น ได้เปรียบมากกว่า อย่างไรก็ตามคำพูดข้างต้นของ คุณวินท์ สุธีรชัย CEO บริษัท ไพร์มสตีลมิลล์ จำกัด ยืนยันว่าอุตสาหกรรมเหล็กไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน แต่เป็นเรื่องของการจับมือ เปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นพันธมิตร

เชื่อว่านี่เป็นอีกหนึ่งผู้บริหารหนุ่มที่หลายคนในแวดวงธุรกิจจับตามอง และเป็นมือฉมังในวงการค้าเหล็ก วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้นั่งพูดคุยกับเขา ซึ่งต้องบอกว่าไม่เพียงวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเท่านั้น วิธีคิดและเทคนิคการบริหารจัดการตลอดจนการเลือกพาร์ตเนอร์ธุรกิจเพื่อมาช่วยเรื่องบริหารจัดการของเขานั้นน่าสนใจมาก ไม่ใช่แค่การพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กประเทศไทยอย่างเดียว แต่ยังประยุกต์กับธุรกิจอื่นๆได้เช่นกัน
One Stop Service ครบทุกอย่างเรื่องเหล็ก
คุณวินท์อธิบายให้เราฟังคร่าวๆในอุตสาหกรรมเหล็กแบ่งเป็น 3 ระดับใหญ่ๆ ตามอุณหภูมิของการผลิต
- ต้นน้ำ อุณหภูมิ 1300 องศาเซลเซียสขึ้นไป (ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 2000-2200) โดยเป็นการแปรสภาพแร่เหล็กจากเหมืองให้กลายเป็นของเหลว ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีถึงระดับนี้
- กลางน้ำ อุณหภูมิ 700-1300 องศาเซลเซียส เป็นอุณหภูมิที่อยู่ในช่วงที่เหล็กปรับตัวได้ง่าย ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เหล็กไพร์มสตีลมิลล์จัดอยู่ในกลุ่มกลางน้ำ แต่ด้วยเพราะไทยยังไม่มีโรงงานไหนที่เป็นผู้ผลิตต้นน้ำ ดังนั้นจึงเสมือนเป็นต้นน้ำที่สุดในประเทศไทย
- ปลายน้ำ อุณหภูมิ 700 องศาเซลเซียสลงมา ซึ่งจะเป็นการแปรรูปไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ เหล็กก่อสร้าง ยานพาหนะอย่างเครื่องบิน รถยนต์ฯลฯ
ความเป็นมาของ บริษัท Prime Steel Mill ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2557 โดยใช้ชื่อ เต๋อหลง(ไทยแลนด์) จำกัด โดยการถือหุ้นเพิ่มของทั้ง 2 บริษัท อย่าง บริษัท เอเชีย เมทัล จำกัด(มหาชน) ,บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนโครงสร้าง และเปลี่ยนชื่อเป็น Prime Steel Mill เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2560 ซึ่งปัจจุบัน หากพูดถึงผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กรูปพรรณรายใหญ่ของไทย ชื่อของบริษัทที่วินท์กุมบังเหียน CEO ยืนอยู่แถวหน้าแน่นอน
“เราเป็นผู้ผลิตเหล็กกลางน้ำ (กลางน้ำของโลก แต่ต้นน้ำของไทย) ซึ่งเรามีกลุ่มลูกค้าที่สามารถนำเหล็กรีดร้อนของเรามาแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก (Steel Processing) เป็นเหล็กรูปพรรณต่างๆ ได้แก่ เหล็กแถบม้วน (Slitting Coil), เหล็กท่อ (Steel Pipe) หรือเหล็กโครงสร้างรูปตัวซี (C-Channel) ซึ่ง Supply Chain ในกลุ่มเราสามารถตอบโจทย์การใช้งานเหล็กแบบเต็มรูปแบบในประเทศไทยแต่เพียงแห่งเดียว นี่เป็นจุดเด่นของเรา” คุณวินท์อธิบาย
แตกต่างด้วย Value Added ที่ไม่มีใครเหมือนในตลาด
การตอบโจทย์ในสิ่งที่ตลาดไม่มี เป็นตัวแปรสำคัญของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีสินค้าครบเรียกได้ว่า One Stop Service ก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามหากความแตกต่างนี้ไม่สามารถให้ลูกค้าได้ผลประโยชน์หรือกำไรขึ้นได้ ก็คงไม่ต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาให้ความสำคัญ คือต้องสร้าง Value added กับแบรนด์ เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือก หรือนึกถึงทุกครั้ง “สิ่งที่เราสร้างสรรค์ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราได้ไม่ใช่แค่เรื่องยอดขายเท่านั้น แต่เป็นแบรนด์ดิ้งหรือประสบการณ์ที่ลูกค้าประทับใจ และให้ความไว้วางใจ ถ้าเป็นเรื่องเหล็ก ก็ต้องไพร์ม สตีลมิลล์”
ในวงการค้าเหล็กเป็นที่ทราบกันดีว่าไพร์มสตีลมิลล์ เป็นเจ้าเดียวที่ผลิตเหล็กม้วนชนิดหน้าแคบจำหน่าย ซึ่งโดยปกติโรงงานทั่วโลกจะผลิตเหล็กแผ่นหนึ่งมีขนาดความกว้างที่ 1200 มิลลิเมตร หรือ 4 ฟุตซึ่งเป็นขนาดมาตรฐาน โดยการใช้งานจริง ถ้าต้องการตัดเหล็กให้ขนาดความกว้าง 500 มิลลิเมตร หนึ่งแผ่นก็จะแบ่งได้เพียง 2 แผ่นย่อย โดยเสียไป 200 มิลลิเมตร สูญเสียถึง 25% ซึ่งไพร์มสตีลมิลล์ มองเห็นโจทย์และสามารถทำได้ตามออเดอร์ลูกค้า 3 ปีที่ผ่านมาจึงสามารถต่อยอดชื่อเสียงกับบรรดาคู่ค้าเก่าๆและรายใหม่ ปีที่ผ่านมาสร้างรายได้กว่า 6000 ล้านบาท เติบโตดับเบิ้ลได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตามการเป็นที่หนึ่งในตลาด บางคนอาจจะมองว่าต้องแลกกับโอกาสการขยายไปอีกตลาดหนึ่งหรือไม่ แต่สำหรับคุณวินท์เขาไม่ได้มองอย่างนั้น
“ถ้ามองในภาพกว้างการเป็นผู้ผลิตเหล็กหน้าแคบทำให้เรามีต้นทุนได้เปรียบกว่า รวดเร็วกว่า แต่ก็มีข้อด้อย เพราะการอยู่ในนิชมาร์เก็ตอย่างเหล็กรูปพรรณ ทำให้ผู้ผลิตที่ต้องการแผ่นใหญ่ๆอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ก็อาจจะไม่ได้มองเราเป็นตัวเลือกแรก จริงๆผมมองว่าตลาดรูปพรรณก็ใหญ่มากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสขยายไปในตลาดที่กว้างกว่า ถามว่าเสียโอกาสขยายไปอีกตลาดหนึ่งแค่ไหน ผมว่าสุดท้ายแล้วลูกค้าก็ดูว่าเรามีความสามารถ ของเราดีแค่ไหนมากกว่า ในวงการค้าเหล็กส่วนใหญ่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นลูกค้าเราก็จะรู้ว่าศักยภาพของเราเป็นอย่างไร อย่างเหล็กรถยนต์ที่ต้องเกรดพรีเมี่ยม ตอนนี้ก็มีผู้ผลิตรถยนต์หลายเจ้าเข้ามาดีลกับเรา ถ้าเทียบสัดส่วนตอนนี้ก็ประมาณ20% ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มมากกว่านี้แน่นอน” CEO อธิบาย
ขยายโกดังเพิ่มจำนวนการผลิต+เข้าตลาดหลักทรัพย์
ในส่วนของการรุกตลาด มีสองเสต็ปที่ผู้บริหารหนุ่มวางจังหวะก้าวในปีนี้ เสต็ปแรกคือการขยายกำลังการผลิต โดยกำลังขยายโรงงานอมตะซิตี้จังหวัดระยอง จากที่ดิน 35 ไร่ ซื้อเพิ่มไปแล้ว 56ไร่ รวมเป็น 91ไร่

เสต็ปสอง ประมาณปลายปีนี้ น่าจะได้เห็นการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของไพร์มสตีลมิลล์
“ต่อไปเหล็กเคลือบกันสนิมก็ดี หรือเหล็กก่อสร้างแบบครบวงจรก็ดี เป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่จะเติบโตอนาคต ซึ่งการเข้าตลาดจะทำให้เรามีต้นทุนพัฒนาเหล็กระดับสากลมากขึ้น ซึ่งเทรนด์เมืองนอกการก่อสร้างตึกสูงๆใช้เหล็กหมดแล้ว เพราะเร็วกว่า สวยกว่า มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แต่ปัจจุบันวิศวกรรมที่เชี่ยวชาญเรื่องเหล็กบ้านเรายังมีน้อย แต่เชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นานจะได้เห็นตลาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเราต้องพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ของเราไว้ก่อนเทรนด์เสมอ”
จับมือกันไปได้ไกลกว่า
ในมุมมองกว้างของตลาดอุตสาหกรรมเหล็ก คุณวินท์ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจ ถ้าย้อนไปช่วง 2014-2015 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาเหล็กตก ทั้งเศรษฐกิจที่ตกสะเก็ด โดยเฉพาะ Crisis ที่สืบเนื่องจากประเทศจีน ที่แย่งกันปล่อยสินค้าราคาถูกออกมาแปลงเป็นเงินก่อนที่จะต้องถูกปิดโรงงานเนื่องจากปัญหามลพิษ ส่งผลให้ราคาเหล็กดิ่งลง เขามองว่า Crisis เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ สำคัญที่จะหาทางป้องกันอย่างไรดีที่สุด สำหรับเขายืนยันชัดเจนว่าการจับมือเป็นพันธมิตรกัน จะช่วยได้อย่างยั่งยืนที่สุด
“จริงๆการจับมือกันเป็นเรื่องที่อุตสาหกรรมเหล็กต่างประเทศอย่างอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ทำกันมานานแล้วเป็นร้อยปี เมื่อSupply chain ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จับมือกันหมด นั่นหมายความว่า เราจะสามารถสร้างความนิ่งให้กับลูกค้ามากที่สุด ถ้าคุณเป็นปลายน้ำ แต่สามารถฟิกราคาเท่าต้นน้ำได้ หรือต้นน้ำสามารถฟิกราคาเหมืองได้ มันก็สามารถส่งผลประโยชน์ไปถึงราคา ตลอดจนระบบนิเวศทั้งหมดได้”

ท่ามกลางการแข่งขันธุรกิจ การหยุดอยู่ที่ความสำเร็จ ไม่แก้ไขหรือหาข้อผิดพลาดเพื่อปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพตัวเอง ถือเป็นสิ่งที่คุณวินท์ย้ำกับตัวเองเสมอ ห้ามประมาท โดยเฉพาะในธุรกิจเหล็กซึ่งมีปัจจัยมากมายที่ชี้ชะตาธุรกิจ จำเป็นที่ต้องมีซิสเต็มหรือระบบที่ช่วยควบคุมการบริหารจัดการทั้งเรื่องสินค้า เรื่องขนส่ง เรื่องคน เพื่อที่จะวิเคราะห์ภาพรวมต้นทุน ตลอดจนการโฟกัสปัญหา เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุกและรับได้อย่างถูกต้อง
บริหารจัดการแบบเรียลไทม์ด้วย SAP
นอกจากวิสัยทัศน์แล้ว มีกุญแจดอกอื่นที่ช่วยไขประตูความสำเร็จในธุรกิจอีกหรือไม่ CEO หนุ่มยิ้ม และบอกว่าธุรกิจนี้หัวใจสำคัญคือ “การมีเครื่องมือการบริหารจัดการที่ทรงประสิทธิภาพ” นี่คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ และพร้อมลงทุนเพื่อให้ได้เครื่องมือและผู้ช่วยที่ดีที่สุด
“ในธุรกิจเหล็กก็เหมือนกับธุรกิจอื่นที่มีองค์ประกอบภายในหลากหลายและซับซ้อน แน่นอนว่าการมี Software ที่ช่วยบริหารจัดการงานทั้งหมดได้นั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตอบโจทย์การทำงานในรายวันและการวางแผนธุรกิจในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความบังเอิญที่ผมจบสาขา MIS มา ทำให้ผมมีความรู้ในเรื่อง SAP กับ ERP นี้ค่อนข้างดี ในมุมมองผม SAP เป็นระบบที่เก่งเรื่องโปรดักชั่นส์มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเหล็ก SAP จะมี module หนึ่งเรียกว่าเมทัลโปรดักต์ เกี่ยวกับเหล็กโดยตรง รวมทั้งโลหะอื่นๆ คอปเปอร์ ไททาเนียม อลูมิเนียม ซึ่งหมายความว่าเราสามารถ Implement ข้อมูลได้อย่างง่ายมากๆ”
สิ่งที่ผู้บริหารทุกคนต้องการ คือเรื่องของการควบคุมต้นทุนการผลิตที่เป็นเรียลไทม์มากขึ้น ยอดการผลิตสูญเสียไปเท่าไร ของเสีย ของดี ไม่ดีเท่าไร ถ้าสามารถรู้ตรงนี้แบบเรียลไทม์ก็ย่อมจะสามารถควบคุมต้นทุนทุกอย่างได้ดีขึ้น ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติของ SAP ที่ เขาให้ความสำคัญ และลงทุนเพื่อความคุ้มค่าที่มากกว่า
“ผมบอกได้เลยว่าทุกวันนี้ เวลา 24 ชั่วโมง มันเป็นเวลาที่นานมาก ถ้าผู้บริหารไม่รู้เรื่อง ความเสียหายมหาศาลแน่นอน เพราะฉะนั้นเรื่องควบคุมการผลิตต้นทุนต่างๆ ให้เป็นเรียลไทม์นี่สำคัญมาก เพราะเวลาเราทำงานเราไม่รู้หรอกว่าที่เราทำไปผลมันดีหรือไม่ดี อย่างการผลิตเหล็ก ถ้าคนงานเราผิดพลาด กว่าจะรู้นี่ผลิตออกมาแล้วเป็นพันตัน ไม่ได้เลยครับ ดังนั้นการจัดการแบบเรียลไทม์นี่สำคัญมาก ถ้าเป็นบริษัทชั้นนำต่างชาตินี่จะมีมอนิเตอร์ให้พนักงานดูกันเลยว่า ตอนนี้คุณทำดีอยู่นะ คุณทำไม่ดีอยู่นะ ผมมองว่า SAP เข้ามามันเป็นการฟีดแบกที่ดี”
“เหตุผลที่เราเลือก ISS Consulting เพราะมีประสบการณ์ในการติดตั้งระบบให้กับธุรกิจเหล็ก จริงๆแล้วผมบอกเลยไม่ว่าซอฟต์แวร์ดีแค่ไหน มันเป็นแค่ 20% ว่าจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ Implementer หรือคนจัดการต่างหากที่สำคัญ มีส่วนสำคัญกว่า 80%”
กุญแจความสำเร็จ ถ้าเป็น SAP ต้อง ISS Consulting
อย่างไรก็ตาม การมีระบบที่ดีที่สุด ยังไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ถ้าผู้ใช้งานหรือ Implementer ไม่เชี่ยวชาญ ชำนาญในธุรกิจประเภทนั้นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กที่มีคำศัพท์ซึ่ง คุณวินท์เรียกว่า ภาษาเฉพาะทาง ก็อยากที่จะร่วมงานกันอย่างไร้รอยต่อ
“การเลือก Implementer ที่เหมาะสม มีประสบการณ์นี่สำคัญมากนะครับ ผมเรียกว่าใช้ภาษาเดียวกัน คุยกันรู้เรื่อง อย่างแผ่นเหล็กรีดร้อน เหล็กรีดเย็น ถ้าเป็นเจ้าอื่นอาจไม่รู้ แต่ ISS Consulting เขารู้อยู่แล้ว เขาคุยกับผมได้เลย เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง แค่คำพูดก็ใช้เหมือนกันแล้ว ผมไม่ต้องสอนเค้าใหม่ ฉะนั้นแทนที่เราต้องมาสอนคำศัพท์กัน เราก็มาคุยเนื้อๆ กันเลย นี่เป็นสิ่งสำคัญของการเลือกพาร์ตเนอร์ธุรกิจ ซึ่ง ISS Consulting เข้ามาช่วยผม สามารถมองภาพรวมบริษัท ซัพพอร์ตการวิเคราะห์ว่าเราควรจะไปโฟกัสตรงไหน ตั้งแต่เรื่องต้นทุน การขาย จนกระทั่งขนส่ง และการเทิร์นโอเวอร์ของรถในองค์กรและอื่นๆ”
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องเป็น ISS Consulting (Thailand) Ltd. โดยเริ่มดีลตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง ISS Consulting นั้นได้เข้าไปมีส่วนทั้งในมุมของการให้คำปรึกษาด้านกระบวนการทางธุรกิจที่ควรจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อผสานเข้ากับระบบ SAP และการจัดการติดตั้งและดูแลรักษาระบบ SAP ให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างดีที่สุดสำหรับไพร์มสตีลมิลล์ รวมไปจนถึงการฝึกอบรมการใช้งานของพนักงาน, การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยี BI และการวางแผนอนาคตว่าจะต่อยอดเทคโนโลยีและกระบวนการการทำงานที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร

บทสรุปในเวลาอันแสนสั้นที่ได้พูดคุย ทำให้เราได้เห็นวิสัยทัศน์ที่สำคัญของ CEO คนนี้ทั้งมิติการบริหาร และมิติการจัดการ การมีพาร์ตเนอร์ที่เปี่ยมศักยภาพย่อม ซึ่งทั้ง 3 เรื่อง คือหัวใจที่ทำให้ทุกธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
เกี่ยวกับ ISS Consulting (Thailand) Ltd
บริษัท ไอเอสเอสคอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบ พัฒนา และติดตั้งระบบ IT รวมถึงระบบ E-Commerce แบบครบวงจรให้แก่องค์กรขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ และเป็นผู้นำ ด้านการบริการดูแลระบบ SAP (Application Management Services) ในประเทศไทย ที่มีความชำนาญอย่างสูงและมี มีประสบการณ์ มามากกว่า 19 ปี
ปัจจุบัน บริษัท ไอเอสเอสคอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการแต่งตั้งจาก SAP ให้เป็นพาร์ทเนอร์ระดับ Platinum ที่มุ่งเน้นนำเสนอโซลูชั่นที่เป็นประโยชน์กับองค์กรธุรกิจ หลากหลาย
นอกจากนี้หากผู้อ่านนักการตลาดที่อยากจะปรึกษาเรื่องSAP เพื่อพัฒนาระบบบริหารการจัดการในองค์กรมากขึ้น ISS Consulting พร้อมให้คำปรึกษาในทุกกลุ่มประเภทธุรกิจเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ ISS Consulting (Thailand) ได้ที่ www.issconsulting.co.th หรือโทร 02 237 0553