Microsoft Azure by Ingram Micro (Thailand)

สรุปงานสัมมนา NetApp Data Driven Forum Thailand ถึงยุคของการทำ Data Fabric แล้ว

ทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้ไปร่วมงาน NetApp Data Driven Forum Thailand ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นงานที่น่าสนใจไม่น้อยกับการเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน ที่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ทำให้มีบทบาทใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้นทั้งในมุมของธุรกิจและในชีวิตประจำวัน แนวคิดการบริหารจัดการข้อมูลในองค์กรบน Cloud ใน Platform ต่างๆ ให้ทำงานร่วมกันได้ เสมือนเป็นผืนผ้าเดียวกัน รวมถึงกรณีศึกษาเรื่องการทำ Digital Transformation ร่วมกับ Ducati จึงขอสรุปเนื้อหาให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันดังนี้ครับ

 

Data Fabric: สิ่งที่ทุกองค์กรต้องทำเพื่อตอบรับการทำ Digital Transformation อย่างยืดหยุ่น

 

Credit: TechTalkThai

 

ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแกนหลักของงานสัมมนาในครั้งนี้ ก็คือแนวโน้มที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในการทำ Digital Transformation และการนำ Cloud เข้ามาใช้งานในธุรกิจองค์กร ที่ได้ผ่านพ้นช่วงแรกเริ่มของเทคโนโลยี ไปสู่การที่หลายๆ ธุรกิจนั้นเริ่มเข้าใจในสองสิ่งนี้รวมถึงเริ่มมีประสบการณ์ในการใช้งานหรือการทำจริงแล้ว จนเริ่มพบกับปัญหาบางประการ และต้องหาโซลูชันใหม่ๆ เข้ามาแก้ไข

ภาพที่เห็นได้ชัดมากของการทำ Digital Transformation นั้นก็คือการที่เหล่าบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 10 อันดับแรกของปี 2017 นั้น ต่างเป็นบริษัทที่มี Digital Product เป็นของตนเองทั้งหมดแล้ว ในขณะที่ IDC เองก็ระบุว่าภายในปี 2020 นั้น 50% ของบริษัทในกลุ่ม Global 2000 จะต้องมีผลิตภัณฑ์, บริการ และการนำเสนอประสบการณ์สู่พนักงานและลูกค้าที่มีการนำเทคโนโลยีแบบ Digital เข้ามาเป็นตัวเสริม อีกทั้ง IDC ยังทำนายด้วยว่าภายในปี 2019 การลงทุนทางด้าน Digital Transformation นั้นจะมีมูลค่าสูงถึง 1.7 ล้านล้านเหรียญ เติบโตจากปี 2017 ถึง 42% โดย Digital Transformation นั้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้กลยุทธ์ด้าน IT ต้องเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ Data นั้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนการทำ Digital Transformation ทั้งหมดอีกที

ทั้งนี้พฤติกรรมหลายประการทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวของทุกๆ คนเองก็เปลี่ยนไปในรูปแบบ Data Driven มากขึ้น ซึ่ง NetApp เองก็ได้มีการสนับสนุนให้ IDC ไปทำการสำรวจเหล่าผู้บริหารและพนักงานระดับสูงกว่า 800 บริษัทใน 15 อุตสาหกรรม ว่ามีการนำข้อมูลไปใช้งานอย่างไรบ้างในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน และพบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

  • ทุกๆ อุตสาหกรรมนั้นพบกับการ Disruption กันหมดแล้ว โดย Utilities ถูก Disruption มากที่สุดถึง 29% ตามมาด้วย Retail มากกว่า 25%, Industrial Equipment 20%, Financial Services 18%, Government 17.5%, Oil and Gas 15.1% และ Transport 14.2%
  • กลุ่ม Data Thriver หรือธุรกิจที่เป็นผู้นำข้อมูลมาใช้งานอย่างจริงจังก่อนใครนั้น ยังคงมีเพียงแค่ 11% ของบริษัททั้งหมดที่ทำการสำรวจ แต่ธุรกิจเหล่านี้ก็มี Operational Efficiency สูงกว่าธุรกิจที่ยังไม่เริ่มนำข้อมูลมาใช้งานถึง 6 เท่า และมีกำไรสูงกว่า 3 เท่า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า, การสร้างโอกาสทางธุึรกิจใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ และการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
  • เหล่า Data Thriver นี้มีมุมมองต่อ Data ว่าเป็น Asset ของธุรกิจ อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างการทำงาน ให้ฝ่าย IT และธุรกิจทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็วและตรงต่อความต้องการใช้งานจริงมากขึ้น
  • สำหรับการลงทุนของธุรกิจในกลุ่ม Data Thriver นี้จะเกิดขึ้นกับโครงการทางด้าน DevOps, การเปลี่ยน IT Infrastructure ให้รองรับการทำ Digital Transformation อย่างเต็มตัว, การนำ Data Analytics และ Machine Learning มาใช้งาน ไปจนถึงการก้าวสู่การทำ Multi-Hybrid Cloud ซึ่งผสานรวมทั้ง Multi-Cloud และ Hybrid Cloud เข้าไว้ด้วยกัน

NetApp ได้ระบุว่าการทำ Digital Transformation เหล่านี้เองที่จะเป็นแรงผลักดันหลักที่จะทำให้ระบบ IT ของธุรกิจองค์กรต่างๆ เปลี่ยนไป ดังนี้

  • Inspire การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยใช้ศักยภาพและความสามารถของ Cloud เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง
  • Build การใช้ Cloud เร่งให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าในอดีต
  • Modernize การสร้างสถาปัตยกรรมระบบ IT โดยใช้ Flash ในการจัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก และเสริมความสามารถให้ข้อมูลเหล่านี้ภายในองค์กรสามารถนำไปใช้บน Cloud ได้อย่างอิสระ

อย่างไรก็ดี ความท้าทายหลักๆ ของเหล่าธุรกิจที่มีต่อการจัดการข้อมูลนั้นก็คือการที่ข้อมูลมักจะถูกจัดเก็บอย่างกระจัดกระจาย (Distributed), มีการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง (Dynamic) และมีการจัดเก็บในรูปแบบที่หลากหลาย (Diverse) ทำให้การเตรียมข้อมูลเพื่อมาใช้งานจริงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์นั้นเป็นไปได้ยาก ในขณะที่การนำมาใช้งานจริงเองก็ต้องคำนึงถึงประเด็นด้านความปลอดภัย, การเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ติดข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยีและการนำไปใช้งานหลากหลายรูปแบบตามความต้องการที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตให้ได้ด้วย

NetApp นั้นต้องการเป็นผู้ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถทำ Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเอาชนะความท้าทายต่างๆ รวมถึงเตรียมพร้อมต่อสถาปัตยกรรม Multi-Hybrid Cloud ให้ได้ จึงได้มุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องของการนำเสนอโซลูชันสำหรับการทำ Cloud Data Management เป็นหลัก เพื่อให้ธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถบริหารจัดการข้อมูลของตนเองซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญต่อการทำธุรกิจในอนาคต และพร้อมจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพได้นั่นเอง

สำหรับองค์กรต่างๆ ที่อยากทราบว่าตัวเองมีความพร้อมด้านการทำ Digital Transformation มากน้อยเพียงใด สามารถทำแบบทดสอบวัดผลออนไลน์ของทาง NetApp ได้ฟรีๆ ทันทีที่ Dxassenssment.netapp.com ครับ

 

NetApp Data Fabric: ตอบโจทย์ Cloud Data Management ด้วยการผสานระบบจัดเก็บข้อมูลบนทุก Platform เข้าด้วยกัน

 

Credit: NetApp

 

เพื่อตอบรับต่อยุคสมัยแห่ง Data-centric ที่ข้อมูลจะกลายเป็นศูนย์กลางของทุกๆ การทำ Digital Transformation ทาง NetApp จึงได้นำเสนอโซลูชัน Data Fabric ขึ้น

หากจะเล่าภาพของ NetApp Data Fabric ให้ชัดเจนแล้ว ก็อาจต้องเล่าย้อนไปถึงเทคโนโลยีของ NetApp ที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบ Storage สำหรับองค์กรให้ตัว Software นั้นแยกส่วนกับ Hardware อย่างเด็ดขาดมาตั้งแต่แรกเริ่ม เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดการทำ Software-Defined Storage (SDS) ตั้งแต่ก่อนที่คำๆ นี้จะเกิดขึ้นมาเสียอีก ดังนั้น Storage ทุกรุ่นของ NetApp นั้นถึงแม้จะมี Hardware ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีชั้นของ Software ที่เหมือนกันหมด และทำงานร่วมกันได้ทั้งหมด

พอมาถึงยุคสมัยของ Cloud ทาง NetApp เองก็สามารถก้าวเข้าสู่โลกของ Cloud ได้อย่างง่ายดายด้วยการนำ Software ของตนเองไปให้ติดตั้งใช้งานบนระบบ Compute ของผู้ให้บริการ Cloud แต่ละราย และเชื่อมต่อกับ Cloud Storage เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูล เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้งาน NetApp บน Cloud

Software ดังกล่าวนี้ก็คือ NetApp ONTAP นั่นเอง

นอกจากในแง่มุมของการที่ NetApp ONTAP นั้นสามารถถูกนำไปติดตั้งใช้งานได้ทั้งภายในองค์กรและบน Cloud แล้ว ทาง NetApp เองก็ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการ Cloud เพื่อนำ Hardware ของ NetApp เองไปติดตั้งและให้บริการบนนั้น เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถเลือก Provision โซลูชันของ NetApp มาใช้งานเป็น Cloud Storage ได้โดยตรง และยังคงเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ของ NetApp ที่ใช้งานอยู่เดิมได้อย่างสมบูรณ์ด้วย

ทั้งนี้เมื่อ NetApp มีการเข้าซื้อกิจการของ Solidfire ผู้พัฒนาโซลูชันด้าน All Flash Storage อีกรายเข้ามา และได้ต่อยอดจนกลายเป็น NetApp HCI ไปแล้วในทุกวันนี้ ถึงแม้ระบบเบื้องหลังดังกล่าวนี้จะไม่ใช่ NetApp ONTAP แต่ทางทีมงาน NetApp ก็ได้ทำการพัฒนาต่อเนื่องจนโซลูชันเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกับ NetApp ONTAP ได้ด้วย

การทำงานร่วมกันเองระหว่างโซลูชันที่ใช้ NetApp ONTAP ทั้งภายใน Data Center ขององค์กรหรือบน Cloud และ NetApp HCI ในแง่ของความสามารถในการโยกย้ายข้อมูล, การสำเนาข้อมูล แะอื่นๆ นี้เองก็คือหัวใจของ NetApp Data Fabric โดยสิ่งที่ NetApp ได้ทำเพิ่มเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายนนั้นก็คือมีระบบบริหารจัดการโซลูชันเหล่านี้แบบศูนย์กลาง ซึ่งสามารถติดตั้งใช้งานเองภายในองค์กรก็ได้ หรือจะใช้บริการ Cloud ก็ได้ และทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถทำการจัดการข้อมูลของตนเองที่อยู่บน Platform ของ NetApp ทั้งหมดจากที่ใดๆ ก็ได้ผ่านหน้า GUI อย่างง่ายดายด้วยการ Drag & Drop และการกำหนดค่าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับ CLI อีกต่อไป

ความร่วมมือระหว่าง NetApp กับผู้ให้บริการ Cloud นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ให้บริการ Cloud ระดับ Global เท่านั้น แต่ในเมืองไทยเองก็มีผู้ให้บริการ Cloud ที่สามารถนำเสนอเทคโนโลยีของ NetApp และทำงานร่วมกันในภาพของ NetApp Data Fabric ได้ด้วยเช่นกัน

ลองดูตัวอย่างการทำงานง่ายๆ ของ NetApp Data Fabric ได้จากคลิปตัวอย่างดังนี้ ซึ่งเป็นการทดลอง Replicate ข้อมูลระหว่าง NetApp ONTAP บน AWS กับ NetApp ONTAP ภายใน Data Center ครับ

 

NetApp สนับสนุน Ducati พลิกโฉมการแข่งขัน MotoGP World Championship ด้วย Digital Transformation

 

Credit: NetApp

 

อีกหนึ่งในเนื้อหาส่วนที่น่าสนใจมากในงานสัมมนานี้ คือการที่ทีมงานของ NetApp ออกมาเล่าถึงกรณีศึกษาจากการที่ NetApp ได้เข้าไปเป็น Sponsor อย่างเป็นทางการให้กับ Ducati Team ในการแข่งขัน 2018 MotoGP World Championship เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เข้าไปเป็นกำลังหลักในการร่วมทำ Digital Transformation เพื่อให้ Ducati Team สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ที่เคยมีในการเพิ่มความเร็วให้กับรถของ Ducati ด้วยการนำข้อมูลไปใช้ นับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับการนำ All Flash Storage และ Data Fabric มาใช้งานในการทำ Digital Transformation ให้เกิดขึ้นจริง

เดิมทีนั้นความเร็วสูงสุดที่เคยมีในประวัติศาสตร์การแข่งขันนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 356.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทาง Ducati จึงได้นำเทคโนโลยี Internet of Things หรือ IoT เข้ามาใช้ติดตั้งรอบตัวรถ MotoGP มากกว่า 60 จุดในแต่ละคัน เพื่อทำหน้าที่เป็น Sensor วัดค่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่รถกำลังวิ่งไปรอบสนาม เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาทำการวิเคราะห์และปรับจูน Software ของระบบ ECU ให้ประสิทธิภาพของรถเร็วยิ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ ก่อนที่รถจะวิ่งในรอบถัดไปและนำข้อมูลมาทำการปรับปรุงต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก Sensor เหล่านี้ที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบของการแข่งขันนั้นมีมากถึง 8GB และ Ducati Team เองก็มีรถ MotoGP สำหรับใช้ในการซ้อมด้วยกันถึง 4 คัน ดังนั้นการโหลดข้อมูลเข้ามาจัดเก็บให้ได้อย่างรวดเร็วและทำการวิเคราะห์ให้ได้ทันท่วงทีต่อความต้องการนั้นจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ และนี่เองที่เทคโนโลยี All Flash Storage ของ NetApp ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดเก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลนี้ให้ได้อย่างทันท่วงที และนำไปใช้วิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับแต่งค่าใน ECU แต่ละรอบนั้นแล้วเสร็จได้ภายในเวลาเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น

 

ของแจกในงานสัมมนา เป็น Ducati คันจิ๋ว โดน NetApp ครับ Credit: TechTalkThai

 

ไม่เพียงแต่ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์ในสนามแข่งเท่านั้น แต่สนามแข่งทั้งหมดในการแข่งขันกว่า 19 แห่งทั่วโลกนั้นต่างก็ถูกปรับแต่งให้รองรับเทคโนโลยีเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อให้ Ducati Team สามารถทำการปรับจูนเครื่องให้เหมาะสมกับการแข่งขันในแต่ละสนามได้ อีกทั้งข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในแต่ละสนามซึ่งมีปริมาณมหาศาลนี้ ก็ต้องสามารถถูกส่งขึ้นไปจัดเก็บอีกชุดหนึ่งบน Cloud เพื่อให้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลองค์รวม รวมถึงยังสามารถใช้ Computing Power ปริมาณมหาศาลที่อยู่บน Cloud ได้ด้วยเช่นกัน ตรงส่วนนี้ทาง NetApp ได้ใช้ NetApp Data Fabric ในการเชื่อมข้อมูลจากสนามแข่งทั้งหมดขึ้นสู่ Cloud และโยกย้ายไปยังที่ใดก็ได้ตามแต่ความต้องการของ Ducati Team

ด้วยแนวทางเหล่านี้ ในการแข่งขันที่ Qatar นักแข่งของ Ducati Team ทั้ง 5 คนจึงสามารถทำลายสถิติเวลาที่ดีที่สุดของตนเองได้ จนทำให้ทีมคว้าชัยชนะมาครั้งแรกหลังจากนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงกระบวนการเตรียมการแข่งขันของตนเองได้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ในงานสัมมนาครั้งนี้เอง ทาง Ducati ก็ได้มาออกบูธในงานของ NetApp ด้วย ก็ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจดีครับ

 

Ducati ที่นำมาแสดงในงานสัมมนาครั้งนี้ Credit: TechTalkThai

 

แนะนำผลิตภัณฑ์และโซลูชันเด่นของ NetApp ในปีนี้

สุดท้ายทางทีมงาน TechTalkThai ก็มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับเหล่าวิศวกรของ NetApp เพื่อสอบถามถึงโซลูชันเด่นต่างๆ ที่จะเน้นในตลาดเมืองไทยสำหรับปี 2019 ที่จะถึงนี้กันดังนี้ครับ

 

1. NetApp Data Fabric

 

Credit: NetApp

 

เพื่อตอบรับต่อการทำ Multi-Hybrid Cloud ของธุรกิจไทย ทางทีมงาน NetApp จึงนำเสนอโซลูชันในภาพของ NetApp Data Fabric ในระยะยาวเพื่อให้เหล่าธุรกิจองค์กรที่ลงทุนใน NetApp นั้นสามารถมองเห็นแนวทางในอนาคตที่จะเปิดสู่การทำ Multi-Cloud และ Hybrid Cloud ได้อย่างชัดเจน ด้วยความสามารถในการจัดการข้อมูลและโยกย้ายข้อมูลได้อย่างอิสระของ NetApp ONTAP และ NetApp HCI ร่วมกับบริการต่างๆ ของ NetApp บนผู้ให้บริการ Cloud หลากหลายราย

ทั้งนี้ NetApp Data Fabric เองก็รองรับการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการ Cloud ดังนี้

 

2. NetApp HCI

 

NetApp HCI ของจริงที่นำมาจัดแสดงในงาน ใครสนใจเรียกไป PoC ได้เลยครับ Credit: TechTalkThai

 

ผลิตภัณฑ์น้องใหม่ที่ NetApp ต้องการผลักดันก็คือ NetApp HCI ที่นำแนวคิดของ HCI 2.0 มาสู่ Data Center ขององค์กรด้วยการแยกส่วนของ Compute และ Storage ออกจากกัน ทำให้การเพิ่มขยายระบบสามารถเลือกเฉพาะส่วนได้ และระบบ Compute และ Storage ต่างก็ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่แย่งทรัพยากรระหว่างกัน อีกทั้งระบบ Storage ใน NetApp HCI นี้ก็ยังสามารถทำหน้าที่เป็น SAN Storage ได้อย่างเต็มตัว เชื่อมต่อกับ Physical Server หรือ Virtual Machine (VM) ที่มีอยู่เดิมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ All Flash ทั้งหมดในระบบทำให้มีประสิทธิสูงและประหยัดพลังงาน เหนือกว่าระบบ HCI ที่ทำงานแบบ Hybrid อย่างชัดเจน

อีกจุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจมากของ NetApp HCI ภายใต้แนวคิด HCI 2.0 นี้ก็คือความสามารถในการกำหนด Quality of Service (QoS) สำหรับแต่ละ Volume เพื่อรับประกัน IOPS ที่จะให้บริการขั้นต่ำได้ ทำให้ในกรณีที่หลายๆ Application เกิดการทำงานหนักพร้อมๆ กัน ก็จะไม่มี Application ใดต้องหยุดทำงานหรือมีปัญหาด้านประสิทธิภาพเลย รวมไปถึงหาก Storage Node ภายใน NetApp HCI เกิดหยุดทำงานไปบางส่วน ระบบที่เหลือก็จะยังคงรับประกัน IOPS ที่จะให้บริการทั้งหมดได้ตามที่กำหนดค่าเอาไว้ด้วย

 

3. NetApp AFF, NetApp FAS, NetApp EF, NetApp E

 

Credit: NetApp

 

ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงสำหรับ NetApp เช่นเคยสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่ม Unified Storage ซึ่งมี NetApp AFF เป็นรุ่น All Flash Storage (ปัจจุบันมีรุ่น NVMe แล้ว), NetApp FAS เป็นรุ่น Hybrid Flash Storage รวมถึงยังมี SAN Storage ราคาคุ้มค่าอย่าง NetApp EF-Series สำหรับ All Flash Storage และ NetApp E-Series สำหรับ Hybrid Flash Storage

แน่นอนว่าความสามารถอันโดดเด่นที่ทำให้สามารถเอาชนะใจองค์กรจำนวนมากทั่วโลกมาได้ ก็หนีไม่พ้นการทำ MetroCluster ที่ทำให้สามารถทำ Synchronous Replication ระหว่าง Data Center ที่ระยะห่างกันสูงสุดได้ถึง 300 กิโลเมตร ทำให้มีค่า RPO ที่ 0 และมีค่า RTO ต่ำกว่า 120 วินาทีได้ ซึ่งเป็นความสามารถที่พร้อมใช้งานได้ทันทีบน NetApp ONTAP แบบไม่มีลิขสิทธิ์ใดๆ เพิ่มเติม

 

4. NetApp StorageGRID

 

Credit: NetApp

 

โซลูชันด้าน Object Storage ที่ต้องการความทนทานสูงเป็นพิเศษด้วยค่า Availability ระดับ 99.999999999% (11-nines) และค่า Durability ระดับ 99.9999999999999% (15-nines) ด้วยการใช้เทคโนโลยี Layered Erasure Coding และสามารถให้บริการข้อมูลได้ผ่านทาง S3-Compatible Protocol โดยรองรับการเพิ่มขยายได้แบบ Scale-Out

NetApp StorageGRID นี้ได้มีผู้ให้บริการในไทยนำมาให้บริการเป็น Cloud Object Storage ให้พร้อมใช้งานจริงได้แล้วในปัจจุบัน รวมถึงมีเหล่าองค์กรต่างๆ เริ่มใช้งานกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับต่อความต้องการในการใช้งาน Application ที่ต้องการเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน S3-Compatible Protocol และต้องการจัดเก็บข้อมูลอย่างคุ้มค่าและทนทานสูงสุด

 

ยอดขาย Flash Storage ของ NetApp ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 ที่ผ่านมา

นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับทีมงาน NetApp ว่าเมื่อไตรมาส 2 ของปี 2018 ที่ผ่านมานี้ ทาง NetApp มีส่วนแบ่งตลาดของ Flash Storage สูงที่สุดในโลก และสูงที่สุดในประเทศไทยด้วยจากการสำรวจของ IDC

 

ติดตาม Facebook Fan Page ของ NetApp Thailand ได้ทันที

สำหรับผู้ที่ต้องการรับข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันต่างๆ ของ NetApp หรือต้องการติดต่อกับทีมงาน NetApp ในประเทศไทย สามารถติดต่อผ่านทาง Facebook Fan Page ได้ที่ https://www.facebook.com/NetApp-Thailand-2049193398649676/ ครับ

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

Microsoft ยกเลิกการใช้ 1024-bit RSA Key บน Windows แล้ว

Microsoft ประกาศยกเลิกการใช้กุญแจเข้ารหัส 1024-bit RSA Key บน Windows แล้ว เปลี่ยนไปใช้กุญแจเข้ารหัสความยาว 2048-bit เป็นอย่างน้อย

NVIDIA เปิดตัว Blackwell B200 GPU และ GB200 Superchip

NVIDIA ประกาศเปิดตัว Blackwell B200 GPU และ GB200 Superchip ชิปประมวลผล AI รุ่นใหม่