ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณ Sriram Raghavan ผู้ดำรงตำแหน่ง IBM Research Director แห่ง IBM India/South Asia, CTO แห่ง IBM India และยังดำรงตำแหน่ง Worldwide Blockchain Leader ควบคู่กันไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในศูนย์กลางของการนำ Blockchain มาใช้งานในภาคธุรกิจทั่วโลกตั้งแต่แรกเริ่มเลยก็คงไม่ผิดนัก ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอนำการสัมภาษณ์มาสรุปให้กับผู้อ่านที่กำลังสนใจหรือพิจารณาการนำ Blockchain มาใช้ในองค์กรได้อ่านกันดังนี้ครับ

Blockchain: เทคโนโลยีหลักที่ IBM ใช้ตอบโจทย์ตลาดการเงิน, องค์กร, ภาครัฐทั่วโลกในเวลานี้
อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยหากพูดถึงเรื่องราวของการนำ Blockchain มาใช้ในการทำงานระดับองค์กร เราก็มักจะนึกถึงชื่อของ IBM ที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยี Blockchain นี้ในหลากหลายแง่มุมทั่วโลก หนึ่งในนั้นก็คือโครงการ Hyperledger ที่ IBM ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นอย่างมากใน Hyperledger Fabric สำหรับนำไปใช้ต่อยอดในการสร้าง Blockchain Application หรือ Blockchain Solution โดยเฉพาะ และ IBM ก็ได้เข้าไปทำโครงการ Blockchain มาแล้วทั่วโลกมากมาย ตอบโจทย์ทั้งเหล่าธุรกิจการเงิน, องค์กร และภาครัฐที่ต้องการนำ Blockchain มาใช้ประยุกต์ในระบบต่างๆ ขนาดเล็กจนถึงใหญ่
IBM นั้นให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Blockchain เป็นอย่างมาก และมีแล็บวิจัยเรื่อง Blockchain โดยเฉพาะ ซึ่งคุณ Sriram Raghavan ที่ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ก็คือผู้ที่เป็น Director ของแล็บวิจัย IBM ทั้งหมด 13 แห่งทั่วโลก รวมถึงแล็บด้าน Blockchain โดยเฉพาะนี้ด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain และการร่วมพัฒนาโครงการ Hyperledger Fabric แล้ว IBM เองก็ยังทำการสร้างบริการ Blockchain บน Cloud ของ IBM เองด้วยเทคโนโลยี, Hardware และบริการสำหรับการตอบโจทย์ระดับองค์กรเป็นหลัก พร้อมทั้งยังมีการพัฒนาระบบ Business Application สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ บน Blockchain แบบพร้อมนำไปปรับแต่งและใช้งาน เพื่อให้เหล่าธุรกิจต่างๆ ได้นำ Blockchain ไปทดสอบและใช้งานได้อย่างง่ายดายที่สุดด้วย
Supply Chain Financing: เปิดโอกาสธุรกิจขนาดเล็กและกลางให้เติบโตได้ด้วย Visibility ของ Blockchain
คุณ Sriram ได้เล่าถึงหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่ Blockchain เข้ามาพลิกโฉมการทำธุรกิจที่อินเดียไป โดยอินเดียนี้ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากจากการนำ Blockchain มาใช้งาน จากการที่อินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่ และมีประชากรเยอะ การนำ Blockchain เข้าไปช่วยเสริมในส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนของอินเดียให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นนี้จึงสร้างผลกระทบต่อสังคมได้เป็นวงกว้าง
โครงการที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นโครงการแรกคือการทำ Supply Chain Financing ที่เหล่าธุรกิจการผลิตได้นำ Blockchain เข้าไปใช้ติดตามธุรกรรมทั้ง Supply Chain อย่างครบถ้วน ทำให้การติดตามการผลิตและสัญญาว่าจ้างต่างๆ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ซึ่งตรงนี้เองทำให้เหล่าสถาบันการเงินที่เข้ามาร่วมอยู่ใน Blockchain นี้สามารถทำการตรวจสอบและนำเสนอบริการทางการเงินให้กับเหล่าธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางภายใน Supply Chain นี้ที่ธนาคารเองก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน จนสามารถปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจเหล่านี้ได้ด้วยการนำข้อมูลจาก Blockchain ไปร่วมวิเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขของการปล่อยเงินกู้ เพราะข้อมูลสัญญาใน Blockchain นี้ถือว่าเชื่อถือได้ว่าจะเกิดธุรกรรมขึ้นจริง
ไม่เพียงแต่ข้อมูลของการทำสัญญาและการเงินเท่านั้น แต่ข้อมูลของสถานะการส่งสินค้า, ประวัติการทำธุรกรรมในอดีต และข้อมูลอื่นๆ เองเหล่านี้ก็สามารถนำมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาของสถาบันการเงินได้เช่นกัน
การนำความโปร่งใสเหล่านี้เข้ามาเสริมกระบวนการทางด้านการเงินให้กับเหล่าธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางนี้เอง ทำให้ธุรกิจเหล่านั้นสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น และธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางลักษณะนี้ก็มีอยู่จำนวนมากในประเทศอินเดีย การที่ธนาคารสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมและสัญญาเหล่านี้ได้นอกจากจะเป็นการทำให้ธุรกิจเหล่านั้นเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้นแล้ว ทางธนาคารเองก็สามารถนำข้อมูลไปใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจกลุ่มนี้ซึ่งไม่เคยมีใครเข้าถึงมาก่อนในอดีตได้ เป็นการได้ประโยชน์กันทั้งระบบเลยก็ว่าได้
Know Your Customer (KYC): หนึ่งในโครงการที่ Blockchain ถูกนำไปใช้ตอบโจทย์อย่างกว้างขวางทั่วโลก
โครงการ KYC นี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ถูกนำมาใช้ร่วมกับ Blockchain มากที่สุดโครงการหนึ่ง โดยแนวคิดหลักๆ ของโครงการ KYC นี้คือการที่เหล่าองค์กรที่ต้องมีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานในลักษณะเดียวกัน มาทำการแบ่งปันข้อมูลผู้ใช้งานร่วมกันเพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นมีการอัปเดตที่สุด, ถูกต้องตรงกันที่สุด ส่งผลให้ในระยะยาวแล้ว หากลูกค้าคนหนึ่งๆ จะใช้บริการของธุรกิจใดๆ ที่มีการแบ่งปัน KYC ระหว่างกัน ก็สามารถทำการใช้งานได้เลยโดยแทบไม่ต้องลงทะเบียนอะไร เพราะธุรกิจเหล่านั้นมีข้อมูลของลูกค้า พร้อมให้ดึงมาใช้งานได้ทันทีหากลูกค้าแสดงความยินยอม ซึ่ง Blockchain ก็สามารถเข้ามาช่วยตอบโจทย์ได้ทั้งในแง่ของ Security และ Privacy พร้อมๆ กัน
ตัวอย่างที่จะทำให้เห็นภาพได้ชัด เช่น การที่เหล่าธุรกิจการเงิน หรือหน่วยงานภาครัฐ ทำการแบ่งปันข้อมูลของลูกค้า/ประชาชนร่วมกันบน Blockchain โดยใช้นโยบายว่าถึงแม้ข้อมูลของลูกค้าทุกคนจะถูกแบ่งปันร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงานบน Blockchain แต่หน่วยงานเหล่านั้นจะไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลกลางนั้นได้หากลูกค้ารายนั้นไม่ยินยอม หรือมาเปิดใช้บริการ ทำให้ธนาคารที่ไม่ได้มีลูกค้ารายใดมาทำธุรกรรมด้วยก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้ารายนั้นได้ เป็นทั้งการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่สามารถใช้บริการธนาคารต่างๆ ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือกรอกข้อมูลใหม่ทุกครั้ง
Aadhaar เป็นโครงการหนึ่งของหน่วยงานรัฐในประเทศอินเดียที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ โดยประชาชนชาวอินเดียทุกคนจะสามารถสมัครเพื่อรับเลขสุ่มจำนวน 12 หลักที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐติดตัวเอาไว้ สำหรับใช้ในการระบุตัวตนและมอบข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองให้กับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ชื่อ, นามสกุล, วันเกิด, อายุ, เพศ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์มือถือ (Optional), Email (Optional), ลายนิ้วมือสิบนิ้ว, ข้อมูลม่านตา และภาพถ่าย ซึ่งเก็บอยู่บน Blockchain และเปิดให้ภาคธุรกิจและการเงินสามารถมาร่วมใน Blockchain นี้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้และต่อยอดได้ง่ายยิ่งขึ้น สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aadhaar สามารถศึกษาได้ที่ https://uidai.gov.in/your-aadhaar/about-aadhaar.html ครับ
โครงการลักษณะนี้ถือว่าสามารถสร้าง Impact ให้กับภาคธุรกิจในระยะยาวได้ โดยคุณ Sriram ก็ได้เล่าถึงกรณีที่ธุรกิจ Startup สามารถมีลูกค้ารายใหม่ตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการไปจนถึง 100 ล้านคนได้ภายในเวลาเพียงแค่ 4 เดือน โดยมีส่วนหนึ่งจากระบบ KYC นี้ที่ทำให้สามารถลดขั้นตอนยุ่งยากในการลงทะเบียนของลูกค้าแต่ละรายลงไปได้ และทำให้การมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าเป็นตัวจริงได้นั่นเอง
กฎหมายเป็นประเด็นสำคัญของภาครัฐทุกประเทศที่ต้องปรับตามเทคโนโลยีให้ทัน
Blockchain กับประเด็นทางด้านกฎหมายถือเป็นโจทย์ที่ภาครัฐของทุกประเทศต้องเตรียมรับมือให้ดี เพื่อให้สามารถนำ Blockchain ไปใช้งานในวงกว้างและสร้างประโยชน์ต่อสังคมให้ได้มากที่สุดและรวดเร็วที่สุด รวมถึงนำไปสร้างเป็นโครงสร้างข้อมูลและการสื่อสารพื้นฐานของประเทศ อันจะเป็นรากฐานสำคัญต่อการที่ภาคธุรกิจจะได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดได้ดียิ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์ที่แต่ละประเทศยังไม่มีกฎหมายมารองรับ Blockchain กันในตอนนี้ ทางคุณ Sriram ก็แนะนำว่าให้เหล่าภาคธุรกิจและภาครัฐเริ่มนำ Blockchain ไปใช้ในแง่มุมที่ไม่กระทบกับกฎหมาย แต่ยังได้นำจุดเด่นของ Blockchain มาสร้างให้เกิดประโยชน์ไปก่อน เป็นทั้งการเริ่มต้นเรียนรู้การใช้ Blockchain และการได้ลองเริ่มสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วย Blockchain ไปในเวลาเดียวกัน
Database จะยังคงไม่หายไปไหนท่ามกลางการมาของ Blockchain
หนึ่งในข้อเข้าใจผิดของหลายๆ คนคือ Blockchain นั้นจะมาแทน Database ทั้งหมดไป ซึ่งคุณ Sriram ก็ได้ออกมาชี้แจงว่าอันที่จริงแล้ว Blockchain เองก็มีโจทย์เฉพาะของตนเองที่สามารถตอบได้ดี ในขณะที่เทคโนโลยี Database แบบเดิมๆ ทั้ง RDBMS และ NoSQL นั้นต่างก็มีโจทย์ที่ตนเองแก้ได้ดีเช่นกัน สิ่งที่เหล่าผู้พัฒนาเทคโนโลยีควรทำนั้นคือการทำความเข้าใจความแตกต่าง จุดดี และจุดเสียของแต่ละเทคโนโลยีให้ดี ก่อนที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ให้เหมาะสมกับงานมากกว่า
Blockchain นี้ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ มีแง่มุมอื่นๆ ให้ต้องพิจารณาอีกมากมาย
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นกระแสที่โด่งดัง แต่ก็ต้องยอมรับว่า Blockchain นี้ยังถือเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก และยังมีโจทย์ที่ต้องขบคิดกันอีกเยอะก่อนนำไปใช้งานจริงในหลากหลายรูปแบบ ทำให้ถัดจากนี้ไปเราจะเห็นการประยุกต์นำ Blockchain ไปใช้แก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และการพัฒนาเทคโนโลยีเสริมหรือ Blockchain สำหรับแก้ไขปัญหาบางอย่างแบบเฉพาะทางมากขึ้นเรื่อยๆ
โจทย์หนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ความขัดแย้งระหว่าง Blockchain กับ General Data Protection Regulation (GDPR) ที่ฝั่ง Blockchain เองนั้นเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถลบข้อมูลในอดีตออกไปได้ ในขณะที่ GDPR นั้นระบุว่าผู้คนจะต้องสามารถร้องขอให้ผู้ให้บริการที่จัดเก็บข้อมูลของตนเอาไว้ ทำการลบข้อมูลออกไปได้ ซึ่งโจทย์นี้เองก็มีแง่มุมวิธีการแก้ไขหรือถกเถียงกันที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและกฎหมาย เป็นต้น
สุดท้ายนี้ทางทีมงาน TechTalkthai ก็ต้องขอขอบคุณทาง IBM Thailand สำหรับโอกาสการพูดคุยที่น่าสนใจในครั้งนี้ด้วยครับ