Smart Eductaion – 3 แนวทางเสริมการเรียนรู้ด้วยการทำ Digital Transformation สำหรับวงการการศึกษาไทย

เทคโนโลยีนั้นได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม และวงการการศึกษาเองก็ย่อมเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโรงเรียน, บทบาทของ E-Learning ที่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการที่ผู้คนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ และเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมายที่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการการศึกษา ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกกันถึงความเป็นไปได้ 3 ประการที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เปลี่ยนแปลงการศึกษาในระดับชั้นต่างๆ

ทำไมวงการการศึกษาไทยถึงต้องการการเปลี่ยนแปลง?

การศึกษานั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในการก้าวตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้สำเร็จ การดูแลเยาวชนและให้การศึกษาที่ทันสมัยรวมไปถึงการเสริมสร้างทักษะทางด้านการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสมนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเตรียมตัวสู่โลกยุคดิจิทัล ในขณะที่เหล่าผู้ใหญ่วัยทำงานเองก็ต้องเรียนรู้เทคโนโลยีและสร้างทักษะใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าในอนาคตนั้น การศึกษาจะเป็นเรื่องของทุกคนในทุกช่วงวัย ไม่ใช่เพียงแค่เด็กเท่านั้นที่จะต้องเรียนอีกต่อไป

นอกจากนี้ การศึกษาจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกๆ สถานที่ ไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในสถาบันการศึกษาเท่านั้น และการเรียนการสอนภายในสถาบันการศึกษาเองก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นและเกิดการโต้ตอบมากยิ่งขึ้น ส่วนการเรียนรู้นอกสถาบันการศึกษานั้นก็จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการปรับปรุงให้การศึกษานั้นเหมาะสมกับทักษะ ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ เป้าหมายเหล่านี้ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่การวางแผนในระยะยาวที่ดีนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริงได้ในประเทศไทย

ในการตอบรับต่อนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้สำเร็จนี้ การศึกษา 4.0 ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คนไทยในอนาคตมีทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ให้ได้ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้การปรับปรุงให้การศึกษามีประสิทธิผลที่สูงยิ่งขึ้น และการออกแบบการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ให้เหมาะสมกับอนาคตมากยิ่งขึ้นไปด้วย

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งสำคัญต่อด้านการศึกษา 4.0 ของไทยนั้นก็คือการทำให้การศึกษาสามารถถูกเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม เพื่อให้เยาวชนไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ยังสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับของคุณภาพที่ใกล้เคียงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้สอนหรือเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอนก็ตามแต่ ปริมาณของครูและเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ครูสามารถเข้าถึงนักเรียนได้มากขึ้นนั้นจึงกลายเป็นอีกสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ

ส่วนเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอนเองนั้นก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ด้วยการศึกษาตามหลักสูตร STEM นั้น คอมพิวเตอร์และวิทยาศาสตร์จะต้องถูกยกขึ้นมาเป็นวิชาหลัก ไม่ใช่วิชารองเหมือนอย่างแต่ก่อน ในขณะที่การเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งจะลดการสอนแยกรายวิชาลงไป และเปลี่ยนการสอนเป็นแบบบูรณาการที่นำเนื้อหาจากหลากหลายวิชามาสาธิตถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกจริงในหลากหลายแง่มุม ก็จะกลายเป็นอีกแนวทางการสอนแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการศึกษาเหล่านี้

ทั้งหมดนี้ถือเป็นก้าวใหญ่ที่คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืนภายในประเทศไทย ในขณะที่เทคโนโลยีก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นจริงได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการสอนของครู และความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนให้สูงยิ่งขึ้นไปได้

สำหรับ 3 แนวทางในการปรับปรุงการศึกษาด้วยเทคโนโลยี มีดังต่อไปนี้

1. สร้างสถาบันการศึกษาแห่งอนาคตด้วยแนวคิด Connected Campus

จากการที่เนื้อหาการเรียนการสอนต้องเปลี่ยนแปลงไปจากการใช้กระดาษไปสู่รูปแบบที่เป็นดิจิทัล สถาบันการศึกษาเองก็ต้องมองหาหนทางใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์สื่อการเรียนการสอนและการนำสื่อเหล่านี้มาใช้สอนผู้เรียนให้ได้ ดังเช่น

  • หนังสือและสื่อการเรียนแบบดิจิทัล: การแจกเอกสารการเรียนการสอนในรูปแบบของไฟล์ PDF, DOCX, PPTX, วิดีโอ และทำการส่งต่อผ่านบริการ Cloud ก็ได้เริ่มกลายเป็นแนวทางพื้นฐานที่ถูกใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตเอกสารการเรียนการสอนเหล่านี้ก็จะถูกเปลี่ยนรูปแบบไปสู่การเป็น Immersive Textbook ที่สามารถถูกใช้เรียนรู้ได้ทั้งในและนอกห้องเรียน รวมถึงเปิดให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถสื่อสารกันได้โดยตรง
  • การสร้างและใช้สื่อการเรียนแบบดิจิทัล: อุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงจะถูกนำมาใช้บันทึกการเรียนนการสอนที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เทคโนโลยีอย่าง Smart Whiteboard เองก็จะช่วยให้สามารถบันทึกเนื้อหาการสอนทั้งการเขียนกระดาน, การเปิดไฟล์นำเสนอ หรือการเปิดวิดีโอให้นักเรียนดูนั้นง่ายขึ้น
  • การนำ Augmented Reality/Virtual Reality มาใช้สอน: สื่อการเรียนการสอนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้นั้น จะเริ่มถูกนำเสนอผ่าน Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) กันมากขึ้น และแม้แต่วิดีโอแบบ 360 องศาเองก็จะถูกนำมาใช้ในการสอนด้วยเช่นกัน
  • สื่อสารภายในชั้นเรียนด้วยแนวคิด Connected Classroom: ครูและนักเรียนจะต้องมีแนวทางการสื่อสารระหว่างกันในรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การสื่อสารสอบถามประเด็นต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในและนอกห้องเรียน สำหรับโรงเรียนชั้นประถมหรืออ่อนกว่านั้น ช่องทาการสื่อสารเหล่านี้อาจต้องครอบคลุมถึงการสื่อสารระหว่างครูและผู้ปกครองด้วย เพื่อช่วยให้สามารถปรับปรุงการเรียนการสอนให้เหมาะกับเด็กแต่ละคนได้อย่างแท้จริง
  • การเรียนรู้ตลอด 24×7: การเรียนการสอนนนั้นจะเกิดขึ้นทั้งที่บ้านและภายในสถาบันการศึกษา และเปลี่ยนจากการเรียนเพียงแค่ 8 ชั่วโมงภายในห้องเรียนไปสู่การเรียนแบบ 24×7 ที่เกิดขึ้นทุกที่ทุกเวลาแทน
  • การปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับนักเรียนเป็นรายบุคคล: ด้วยการประยุกต์นำ AI มาใช้ เด็กนักเรียนแต่ละคนก็จะได้รับแผนการเรียนและเนื้อหาการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปตามทักษะของตนเอง
  • การเรียนรู้ผ่านเกม: เพื่อให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น การเรียนรู้ผ่านเกมนั้นก็จะกลายมาเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยดึงความสนใจจากนักเรียนได้
  • การทำแบบทดสอบออนไลน์: การทดสอบเพื่อชี้วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเทคโนโลยีสำหรับป้องกันการโกงการสอบแบบออนไลน์นั้นก็จะถูกนำมาใช้งานด้วย
  • โครงการวิจัยที่มีเทคโนโลยีเป็นส่วนเสริม: การนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปเสริมให้กับสาขาต่างๆ อย่างเช่น การแพทย์, กสิกรรม และวิศวกรรมนั้นจะช่วยให้การศึกษาในระดับปริญญาตรีไปจนถึงปริญญาเอกนั้นมีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น และยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางด้านงานวิจัยที่ผสานเทคโนโลยีเข้าไปได้อีกด้วย

แนวโน้มใหม่ๆ เหล่านี้จะช่วยนำวงการการศึกษาไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น อุปกรณ์อย่าง Tablet, Smartphone และคอมพิวเตอร์นั้นจะกลายเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการเรียน และการเชื่อมต่อ Internet นั้นจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการเข้าถึงเนื้อหาการเรียนการสอนที่ครูและนักเรียนจะไม่สามารถขาดได้อีกต่อไป

ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ก็มีบางโรงเรียนที่เริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้สอนนักเรียนแล้ว สื่อการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ได้ถูกใช้เพื่อดึงความสนใจในห้องเรียนในแต่ละวิชาและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียน ในขณะที่คอร์สเรียนแบบออนไลน์เองก็มีบทบาทสำคัญในการที่ทำให้นักเรียนนสามารถเลือกเรียนสิ่งที่ตนเองสนใจได้ ในขณะที่หลายๆ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเองก็ได้เริ่มปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน IT เพื่อให้รองรับต่อการทำงานวิจัยใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนแล้ว

2. สร้างสถาบันการศึกษาที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ในขณะที่วิธีการในการเรียนรู้นั้นเปลี่ยนแปลงไป อีกหน้าที่สำคัญของสถาบันการศึกษานั้นก็คือการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัยให้กับเหล่าผู้เรียน ซึ่งการรักษาความปลอดภัยในสถาบันการศึกษานั้นจะต้องขยายจากเพียงแค่ความปลอดภัยในเชิงกายภาพไปสู่การปกป้องเชิงดิจิทัลด้วย ดังนี้

  • ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะและเทคโนโลยีรู้จำใบหน้าซึ่งเชื่อมต่อกับระบบล็อคประตู: การผสานเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับอาจารย์, นักเรียน และเจ้าหน้าที่ได้ด้วยระบบ Authorized-based Access Control สำหรับสถาบันการศึกษา
  • ระบบ ID นักเรียนอัจฉริยะ, ระบบติดตามตำแหน่ง, ระบบติดตามรถบัสรับส่งนักเรียน: เพื่อติดตามว่านักเรียนอยู่ที่ไหน ทำให้อาจารย์และผู้ปกครองสามารถติดตามดูแลนักเรียนแต่ละคนได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
  • ระบบประกาศเสียงตามสายแบบ IP-based: เพื่อสื่อสารกับอาจารย์, นักเรียน และเจ้าหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการตั้งค่าประกาศต่างๆ ล่วงหน้าได้
  • ระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: เพื่อปกป้องทุกคนในสถาบันการศึกษาจากภภัยคุกคามบนโลกออนไลน์ และลดความเสี่ยงในการเกิดกรณีข้อมูลรั่วไหล

ด้วยจำนวนของอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นและความหลากหลายที่สูงขึ้น ในขณะที่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานแต่ละคนก็มีมูลค่ามากยิ่งขึ้นในแต่ละวัน ระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยก็ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับสถาบันการศึกษาแห่งอนาคต

ประเด็นนี้อาจไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวงการการศึกษาในเมืองไทยมากนัก เพราะเทคโนโลยีระบบกล้องวงจรปิดนั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมแพร่หลายสำหรับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งสถาบันการศึกษาในไทยบางแห่งก็เริ่มทดสอบการต่อยอดไปสู่การนำ AI มาใช้ระบุตัวตนกันแล้ว สิ่งที่สถาบันการศึกษาในไทยยังขาดสำหรับการต่อยอดนี้ก็มักจะเป็นการขาดระบบ Data Center Infrastructure ที่เหมาะสม ซึ่งครอบคลุมถึงทั้งระบบ Server และ Storage สำหรับประมวลผลไฟล์วิดีโอจากระบบกล้องวงจรปิดนั่นเอง

3. สร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน IT ใหม่เพื่อรองรับสถาบันการศึกษาแห่งอนาคต

ด้วยความหลากหลายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายภายในสถาบันการศึกษาแห่งอนาคต ระบบ IT Infrastructure นั้นก็จะต้องถูกอัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการใหม่ๆ เหล่านี้ แบนด์วิดธ์ของระบบ Wi-Fi นั้นก็จะต้องสูงพอที่จะรองรับการใช้งาน Application ใหม่ๆ เช่น AR, VR, วิดีโอ 360 องศา ได้ และนักเรียนหรืออาจารย์จำนวน 40-50 คนก็จจะต้องเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายพร้อมๆ กันเพื่อเข้าถึงเนื้อหาเหล่านี้ภายในห้องเรียนได้ ในขณธเดียวกัน อุปกรณ์อย่างเช่น Smart Whiteboard ก็จะกลายเป็นอุปกรณ์ประจำห้องเรียนทุกห้องในอนาคต และการบันทึกเนื้อหาต่างๆ จาก Smart Whiteboard และกล้องบันทึกวิดีโอเองนั้นก็จะต้องใช้ระบบเครือข่ายความเร็วสูงเพื่อส่งเนื้อหาเหล่านี้ไปบันทึกที่ระบบกลางให้ได้

ทางด้าน Internet of Things (IoT) ภายในสถาบันการศึกษาสำหรับเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนและเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคนในสถาบันการศึกษานั้น จำนวนของอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้ใช้งานนั้นก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น ระบบเครือข่ายจะต้องครอบคลุมการเชื่อมต่อทั้งแบบมีสายและไร้สาย รองรับการยืนยันตัวตนและกำหนดสิทธิ์ด้วยวิธีการอันหลากหลาย และมีการควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายได้สำหรับอุปกรณ์แต่ละชนิดอย่างเฉพาะเจาะจง โดยความสามารถในการบริหารจัดการเครือข่ายได้จากศูนย์กลาง, การตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่ายได้อย่างทั่วถึง และการเชื่อมระบบเข้ากับระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัย และระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้านความมั่นคงปลอดภัยนั้นจะกลายเป็นความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่ออนาคต อีกทั้งกระบวนการในการบริหารจัดการและการดูแลรักษาระบบเครือข่ายนั้นก็จะต้องเป็นไปแบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามาใช้งาน ไปจนถึงการกำหนด VLAN, ACL, QoS และการตั้งค่าอื่นๆ รวมถึงการจัดเก็บข้อมูล Log เพื่อตรวจสอบในภายหลังด้วย

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศไทยเองก็ได้มีการจับมือกับเหล่าผู้ให้บริการโครงข่าย 4G เพื่อให้บริการระบบเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์ IoT เพื่อทดสอบโครงการใหม่ๆ และงานวิจัยใหม่ๆ กันบ้างแล้ว ในขณะที่ระบบบริหารจัดการเครือข่ายแบบอัตโนมัติและระบบ Wi-Fi อัจฉริยะเองก็เริ่มถูกนำมาใช้งานเพื่อตอบรับต่อความต้องการของเหล่านักเรียนและอาจารย์กันมากขึ้น และตอบโจทย์ด้านข้อกฎหมายของเมืองไทยในแง่มุมของ Security ไปด้วย

Alcatel Lucent Enterprise: เชื่อมโยงระบบเครอข่ายเพื่อสร้างช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพให้กับอาจารย์และนักเรียน

Alcatel Lucent Enterprise เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และการสื่อสารสำหรับองค์กร การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสถาบันการศึกษานั้นจะนำไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับความมั่นคงปลอดภัยในระบบเครือข่าย พร้อมใช้งานได้อย่างมั่นใจ

Wired & Wireless Networking: Alcatel Lucent Enterprise มีทั้งเทคโนโลยีระบบเครือข่ายมีสายและไร้สาย ได้แก่ OmniSwitch Series และ OmniAccess Stellar Series ซึ่งสามารถถูกบริหารจัดการจากศูนย์กลางได้ผ่าน OmniVista และควบคุมนโยบายการเข้าใช้งานระบบเครือข่ายแบบอัตโนมัติได้ด้วย ClearPass Policy Management System อีกทั้งยังรองรับการเสริมความสามารถด้าน Location-based Services เพื่อสนับสนุนการติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์และผู้ใช้งานที่ทำการเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นอีกแนวทางในการเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับเหล่านักเรียนและอาจารย์ภายในสถาบันการศึกษาได้

IoT Networking: ด้วยความสามารถในการรวบรวมข้อมูลและจัดการอย่างอัตโนมัติ Alcatel Lucent Enterprise จึงสามารถนำเสนอโซลูชันระบบเครือข่ายอัจฉริยะสำหรับสถาบันการศึกษาที่มาพร้อมกับระบบ Intelligent Fabric เพื่อรองรับการจัดการอุปกรณ์ IoT ได้อย่างอัตโนมัติ พร้อมทั้งยังมีระบบ Network Analytics ที่จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น และสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายได้อย่างทันท่วงที มั่นใจได้ว่าระบบเครือข่ายกำลังให้บริการอย่างมั่นคงและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานทุกคนในสถาบันการศึกษา

Rainbow: บริการ Cloud-based UC Service (UCaaS) เพื่อให้อาจารย์, นักเรียน, เจ้าหน้าที่ และผู้ปกครองมีช่องทางการสื่อสารของตนเองได้ ด้วยการนำเทคโนโลยี Contact Management, Presence, Chat, Audio/Video Call, Screen Sharing และ File Sharing มาผสานรวมกัน ระบบ Rainbow นี้ก็สามารถตอบโจทย์การสื่อสารภายในสถาบันการศึกษาได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ภายในกันเอง หรือการสื่อสารระหว่างอาจารย์และนักเรียน และด้วย API ของ Rainbow นั้นก็ทำให้ระบบนี้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Application อื่นๆ อย่างเช่นระบบบริหารจัดการห้องเรียน หรือระบบ E-Learning ที่มีอยู่ได้ ทำให้การสื่อสารนั้นเกิดขึ้นได้จากช่องทางที่หลากหลาย เพื่อให้การเรียนการสอนนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน

เกี่ยวกับ Alcatel Lucent Enterprise

เป้าหมายของ ALE นั้นคือการทำให้ทุกๆ สิ่งเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน และสร้างประสบการณ์ในการใช้งานเทคโนโลยีที่ลูกค้าต้องการได้ตามต้องการ โดย ALE จะนำเสนอทั้งเทคโนโลยีทางด้านระบบเครือข่ายและการสื่อสารที่ตอบโจทย์ได้กับทั้งพนักงาน, กระบวนการทำงาน และลูกค้าของคุณได้จากทั้งในออฟฟิศ, บน Cloud หรือทั้งสองระบบผสานรวมกัน

ด้วยนวัตกรรมและความทุ่มเทเพื่อให้ลูกค้าประสบความสำเร็จมาตั้งแต่อดีตนั้น ก็ได้ทำให้ ALE ภายใต้แบรนด์ Alcatel-Lucent Enterprise นี้กลายเป็นผู้ให้บริการหลักทางด้านระบบเครือข่าย, การสื่อสาร และบริการสำหรับองค์กรให้แก่ลูกค้าทั่วโลกกว่า 830,000 ราย ALE นั้นมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก และให้ความสำคัญกับทุกภูมิภาคด้วยพนักงานมากกว่า 2,200 คนและพันธมิตรมากกว่า 2,900 รายใน 50 ประเทศทั่วโลก https://www.al-enterprise.com

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

AWS เพิ่มตัวเลือก WorkSpaces รุ่นใหม่รองรับ 32 vCPU สำหรับงานประมวลผลหนัก

AWS เปิดตัว WorkSpaces รุ่นใหม่พร้อม vCPU สูงสุด 32 คอร์และแรม 128GB สำหรับงานประมวลผลหนัก เพิ่มทางเลือกใหม่สำหรับการทำงาน Remote

AWS Management Console สนับสนุน Sign-In พร้อมกันหลายบัญชีได้แล้ว

ล่าสุด AWS ผู้ให้บริการ Cloud ยักษ์ใหญ่ได้ประกาศสนับสนุนการใช้งาน Multi-Session หรือการเข้าถึง AWS Management Console ด้วยบัญชี AWS ได้พร้อมกันหลายบัญชี โดยผู้ใช้งานจะสามารถ Sign-In …