เมื่อเดือนตุลาคม 2019 ที่ผ่านมา ทีมงาน TechTalkThai ได้มีโอกาสไปพูดคุยกับคุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO ของบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ในประเด็นด้านการใช้งาน Cloud กับมุมมองต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ซึ่งเชื่อว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งเจ้าของกิจการ SME ทั่วประเทศไทยและเหล่าผู้บริหารทางด้านระบบ IT ไม่น้อยในแง่ของวิสัยทัศน์ จึงขอนำสรุปประเด็นเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พูดคุยในครั้งนี้ให้ผู้อ่านทุกท่านกันดังนี้ครับ
รู้จักกับคุณรวิศ หาญอุตสาหะ และศรีจันทร์สหโอสถ แบรนด์ไทยในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางท่ามกลางความท้าทายใหม่
หลายๆ คนอาจจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณรวิศมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะของ CEO ชื่อดังที่พลิกฟื้นแบรนด์ศรีจันทร์จนเติบโตมาอย่างก้าวกระโดด, ในฐานะของผู้เขียนหนังสือหลากหลายเล่มที่โด่งดัง หรือแม้แต่ในฐานะของเจ้าของ Podcast ชั้นนำอย่าง Mission to the Moon ที่นำเสนอเรื่องราวสาระในแง่มุมต่างๆ มากมาย แต่ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักกับคุณรวิศแบบเจาะลึกกันทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมกันบ้าง
คุณรวิศ หาญอุตสาหะ นอกจากจะดำรงตำแหน่งเป็น CEO แห่งบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด แล้ว ก็ยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท H2O จำกัด และบริษัท ศศิ แล็บ จำกัดอีกด้วย ซึ่งทั้งสามบริษัทนี้ก็ตั้งอยู่ในซอยพระรามเก้า 53 ท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่นไม่น้อย โดยในการสัมภาษณ์ครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์พร้อมการถ่ายวิดีโอเพื่อเตรียมนำไปตัดต่อเผยแพร่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่คุณรวิศก็ยังพูดคุยแบบสบายๆ ตอบคำถามได้อย่างกระชับฉับไว เรียกได้ว่าเคยฟัง Podcast คุณรวิศมาแบบไหน ตัวจริงก็เป็นแบบนั้นเลย
คุณรวิศได้เล่าถึงธุรกิจของศรีจันทร์สหโอสถซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่คุณรวิศดูแลอยู่ในเวลานี้ ที่เป็นแบรนด์ซึ่งมีอายุยาวคู่สังคมไทยมากว่า 70 ปี กับผลิตภัณฑ์หลักที่ผลิตจากวัตถุดิบนำเข้าชั้นนำจากต่างประเทศพร้อมสูตรลับอันเป็นเอกลักษณ์ “ผงหอมศรีจันทร์” ซึ่งช่วยให้สาวไทยได้ใช้ลดความมันบนผิวหน้า แก้ปัญหาการเกิดสิวและผดผื่นคัน และผลิตภัณฑ์นี้ก็ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เดียวของศรีจันทร์สหโอสถมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ดี เมื่อคุณรวิศได้เข้ามาบริหารธุรกิจของศรีจันทร์สหโอสถ ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ นั้นก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการที่คุณรวิศปรับกลยุทธ์ของธุรกิจ ขยายผลิตภัณฑ์จากเดิมที่เคยมีเพียงผลิตภัณฑ์เดียวจนปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลากหลายชนิดทั้งสิ้นมากกว่า 400 รายการ ไปจนถึงการเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการภายในของธุรกิจ จากเดิมที่ไม่เคยมีคอมพิวเตอร์แม้แต่เครื่องเดียว มาสู่การเป็นธุรกิจสมัยใหม่ที่มีระบบ IT เป็นหัวใจสำคัญทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้า พร้อมยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งหมดนี้ทำให้แบรนด์ศรีจันทร์กลายเป็นที่พูดถึงในฐานะของธุรกิจไทยที่สามารถปรับตัวได้อย่างน่าจับตามอง
ในวันที่ทางเราได้เข้าไปพูดคุยกับคุณรวิศในครั้งนี้ ในห้องเดียวกับห้องที่ใช้สัมภาษณ์พูดคุยกับคุณรวิศ เราได้เห็นทีมงานฝ่าย IT ของศรีจันทร์สหโอสถจำนวนหนึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆ ซึ่งคุณรวิศก็ได้เผยถึงอนาคตของศรีจันทร์ ที่จะไม่ใช่แค่การพัฒนาสูตรเครื่องสำอางใหม่ๆ ออกสู่ตลาด แต่คือการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางให้ดีขึ้น เป็นอีกก้าวความท้าทายใหม่ของศรีจันทร์ในวันนี้
สู่ยุคแห่ง Data ธุรกิจไหนเข้าใจลูกค้าได้ดี คือธุรกิจที่จะได้ไปต่อ
ด้วยการที่ศรีจันทร์สหโอสถนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอด จากพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่นับวันจะยิ่งเปลี่ยนไปเร็วยิ่งขึ้น โจทย์สำคัญหนึ่งที่ศรีจันทร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือการทำความเข้าใจผู้บริโภคให้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำที่สุด ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้ทุกวันนี้ศรีจันทร์ลงทุนกับเรื่องของข้อมูลหรือ Data ค่อนข้างมากทีเดียว
คุณรวิศเล่าว่าการใช้งานข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจลูกค้านี้มีด้วยกันหลากหลายแง่มุม เช่น การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป, การเข้าใจความคิดเห็นและความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การที่ศรีจันทร์จะได้เข้าใจปัญหาที่ลูกค้าแต่ละรายเผชิญอยู่จริงๆ และทำให้ศรีจันทร์สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้
ตัวอย่างหนึ่งที่คุณรวิศเล่าก็คือ จริงๆ แล้วลูกค้าที่ซื้อลิปสติกนั้นอาจจะไม่ได้ต้องการลิปสติกสีที่ซื้อไป แต่ลูกค้ารายนั้นต้องการลิปสติกที่จะทำให้ปากของตนเองมีสีสันอย่างที่ต้องการ ซึ่งลูกค้าแต่ละคนนั้นก็มีธรรมชาติของริมฝีปากที่แตกต่างกันไป ดังนั้น การซื้อลิปสติกสีเดียวกันก็อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกันในลูกค้าแต่ละคน ศรีจันทร์ต้องการแก้ปัญหาในระดับนี้ ซึ่งเทคโนโลยีการผลิตเครื่องสำอางเพียงอย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ต้องมีข้อมูลที่จะทำให้เข้าใจปัญหาในรูปแบบนี้ได้มากขึ้น และมีเทคโนโลยีหรือแนวทางที่จะมาตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น
ทุกคนต้องปรับตัว: คนเก่าๆ ต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และใช้ศักยภาพของคนรุ่นใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แน่นอนว่าภารกิจในการก้าวสู่การเป็นธุรกิจแบบ Data-Driven ของศรีจันทร์นี้คงจะอาศัยเพียงแค่กลยุทธ์หรือการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยบุคลากรเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแนวทางนี้ให้เกิดขึ้นจริงด้วย
คุณรวิศได้วิเคราะห์ถึงแนวทางในการทำงานของผู้คนในปัจจุบันที่จะต้องเปลี่ยนไป ว่าทุกคนที่ต้องการปรับตัวนั้นควรจะมีมุมมองต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เสมือนการออกกำลังกาย คือเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย รวมถึงมีเป้าหมายด้วย
ในขณะเดียวกัน คุณรวิศก็มองว่าในขณะที่คนรุ่นเก่าๆ นั้นต้องเริ่มหันมาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกประเด็นสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจที่ต้องการปรับตัวนั้นสามารถก้าวต่อไปได้อย่างสำเร็จลุล่วงก็คือการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ซึ่งมีทักษะที่คนรุ่นเก่าไม่มี เพื่อให้การทำงานร่วมกันนั้นเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถดึงศักยภาพหรือมุมมองจากคนรุ่นใหม่เพื่อพัฒนาธุรกิจให้ตอบรับต่อความต้องการใหม่ๆ ในอนาคตได้
ในระหว่างที่พูดคุยประเด็นนี้ คุณรวิศเองก็ยังเล่าด้วยว่าตนเองนั้นที่จริงแล้วเป็นคนที่ Low Tech มากๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องพยายามเรียนรู้ในเรื่องราวด้านเทคโนโลยี เพราะในฐานะของผู้บริหารหากต้องการให้ธุรกิจหันไปในทิศทางไหน ผู้นำก็ต้องทำให้สำเร็จเป็นตัวอย่างเสียก่อน และคุณรวิศก็ยังได้นำเรื่องราวของตนเองนี้มาเป็นกำลังใจให้กับทุกคนด้วยว่า หากคุณรวิศยังเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เขาก็เชื่อว่าทุกคนก็ต้องทำได้เหมือนกันหากมีความพยายามและวินัยเพียงพอ
ย้ายระบบ SAP Business One ขึ้น Cloud เตรียมเติบโตก้าวกระโดดครั้งใหญ่อย่างมั่นใจ
แน่นอนว่าในก้าวของการพลิกธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อรองรับต่อการเติบโตและเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ การใช้เทคโนโลยี Cloud เป็นระบบ Infrastructure สำคัญของธุรกิจนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของธุรกิจนั้นมีความยืดหยุ่นสูง รองรับต่อการเติบโต ปรับเปลี่ยน ขยับขยาย และพัฒนาต่อยอดให้ได้ตามความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
เรื่องราวนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเพราะระบบหนึ่งของศรีจันทร์สหโอสถที่ถูกย้ายขึ้นระบบ Cloud ในครั้งนี้ก็คือ SAP Business One ระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ERP ชั้นนำสำหรับธุรกิจ SME ซึ่งหลายๆ ธุรกิจนั้นไม่กล้านำขึ้นระบบ Cloud ด้วยความเกรงกลัวใจหลายปัจจัย แต่คุณรวิศและทีมงานได้ประเมินและทดสอบจนมั่นใจแล้วว่า การย้ายขึ้นระบบ Cloud นั้นจะนำมาซึ่งผลดีต่อธุรกิจ และยังลดความเสี่ยงลงอีกด้วย
ในฐานะของธุรกิจ SME ที่อยากจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาธุรกิจของตนเองให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง คุณรวิศมองว่างานด้านการดูแลระบบ Hardware ของศรีจันทร์สหโอสถนั้นถือเป็นสิ่งที่ควร Outsource ออกไป เพื่อให้การใช้งานและการดูแลรักษาระบบ Business Application นั้นกลายเป็นเรื่องง่ายที่สุด เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาในการมุ่งเน้นไปในการพัฒนาธุรกิจแทน และนี่คือโจทย์แรกที่บริการ Cloud สามารถเข้ามาตอบโจทย์นี้ได้ดี
ประเด็นถัดมานั้นก็คือการรองรับต่อการเติบโตของศรีจันทร์สหโอสถในอนาคต ที่คุณรวิศมองว่าการทำนายล่วงหน้าเพื่อลงทุนเทคโนโลยีให้เหมาะสมนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะทั้งเทคโนโลยีและธุรกิจเองต่างก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนยากต่อการทำนาย ดังนั้นการมีระบบที่สามารถเพิ่มลดทรัพยากรได้ตามต้องการทางธุรกิจและคิดค่าใช้จ่ายตามจริงนั้นเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และนี่ก็เป็นอีกโจทย์ที่ Cloud เข้ามาตอบ
สุดท้าย ถึงแม้การนำประเด็นเรื่องการดูแลรักษาระบบ Hardware ออกไปภายนอกจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การดูแลรักษาระบบเหล่านี้ก็ยังคงต้องมีความเป็นมืออาชีพและครอบคลุมทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ, ความมั่นคงทนทาน และความมั่นคงปลอดภัยก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตรงนี้เองที่ทุกบริการ Cloud ไม่ได้ตอบโจทย์ การคัดเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
วางใจ CSL ผู้ให้บริการ VMware Cloud สำหรับธุรกิจองค์กรชั้นนำ
หลังจากที่คุณรวิศและทีมงาน IT ได้ทำการเรียกผู้ให้บริการ Cloud หลายรายมานำเสนอบริการและทำการทดสอบกันอย่างเข้มข้น สุดท้ายศรีจันทร์สหโอสถก็ตัดสินใจงานบริการ VMware Cloud ของทาง CSL
คุณรวิศเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อบริการ Cloud ของทาง CSL ว่า นอกจากในแง่มุมการให้บริการเชิงเทคนิคที่ดีมากแล้ว ทีมงาน CSL เองนั้นยังมีความเข้าใจในคนทำธุรกิจที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากนักเป็นอย่างดี โดยมีระดับของการสื่อสารเพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจได้ด้วยข้อมูลที่เข้าใจอย่างครบถ้วนเสริมเข้ามา ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่เจ้าของธุรกิจ SME ไทยต้องการ
ในแง่ของการออกแบบริการ Cloud นั้น CSL ก็ได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอแก่ศรีจันทร์สหโอสถ โดยคุณรวิศได้ยกตัวอย่างถึงการที่ CSL ได้มีบริการในการสำรองข้อมูลย้อนหลังให้อัตโนมัติ ซึ่งทุกวันนี้ข้อมูลนั้นสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยในศรีจันทร์เองก็เคยเกิดกรณีที่ข้อมูลบนระบบ Cloud เกิดสูญหายจากสาเหตุบางประการมาแล้ว และในตอนนั้นเองที่บริการสำรองข้อมูลดังกล่าวได้ช่วยให้ธุรกิจของศรีจันทร์สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่สะดุดติดขัด และไม่สูญเสียข้อมูลสำคัญใดๆ ไปเลย
คุณรวิศสรุปถึงบทเรียนด้านการลงทุนใช้บริการ Cloud ที่ธุรกิจ SME ทั่วไทยควรคำนึงถึงก็คือ การเลือกใช้ Cloud ที่ดีนั้นไม่ควรเลือกใช้ Cloud ที่ถูกที่สุด แต่ควรเลือกใช้ Cloud ที่คุ้มค่าที่สุดและมั่นใจได้ว่าเมื่อระบบสำคัญของธุรกิจถูกติดตั้งใช้งานอยู่บน Cloud แล้ว ธุรกิจจะต้องไม่สะดุดติดขัดไม่ว่าจะด้วยปัญหาใดๆ ระบบ Cloud ไม่ใช่ระบบที่จะมาช่วยให้ธุรกิจประหยัดต้นทุน แต่เป็นระบบที่จะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคง
จับตา 3D Printing: อนาคตที่โรงงานผลิตเครื่องสำอาง อาจย้ายไปอยู่ในบ้านของลูกค้าทุกคน
ในการพูดคุยกันครั้งนี้ คุณรวิศได้ปิดท้ายด้วยการเล่าถึงความเป็นไปได้หนึ่งในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ที่อนาคตแล้วเมื่อธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าใจลูกค้าได้จากข้อมูลปริมาณมหาศาล การทำ Personalization สำหรับลูกค้าแต่ละรายนั้นอาจก้าวไปถึงการนำ 3D Printing มาให้บริการลูกค้าแต่ละรายที่บ้านของลูกค้าเลย เพื่อให้เกิดการผลิตเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิวของลูกค้าทุกคนได้มากที่สุด
แนวคิดนี้นอกจากจะเป็นการ Personalize ผลิตภัณฑ์แล้ว คุณรวิศยังมองว่า 3D Printing นี้จะยังแก้ปัญหาอื่นๆ ให้กับวงการธุรกิจเครื่องสำอางได้อีกมากมาย แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตามอง ทั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี 3D Printing และการเปลี่ยนแปลงเรื่องราคา รวมถึงการเกิดใหม่ของเทคโนโลยีอื่นในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในทิศทางนี้ด้วย
สนใจบริการ Cloud และ ICT Service ครบวงจร ติดต่อ CSL ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจบริการ Cloud และ ICT Service ครบวงจร ติดต่อ CSL ได้ทันทีโทร 0-2263-8185 หรืออีเมล์ presales@csl.co.th
เกี่ยวกับ VMware Cloud Provider Program (VCPP)
โครงการ VCPP นี้คือโครงการที่ได้ผสานรวมเอาบริการ VMware Software-as-a-Service เข้ากับเหล่าผู้ให้ริการ VMware Service Provider Partners ทั่วโลก เพื่อให้ธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถใช้งานบริการ Cloud ที่มีเทคโนโลยีของ VMware เป็นเบื้องหลังได้ผ่านทางผู้ให้บริการที่มีมาตรฐาน
ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ให้บริการด้าน IT ที่ได้เข้าร่วมโครงการ VCPP มากกว่า 20 รายแล้ว ดังนั้นธุรกิจไทยจึงสามารถเลือกใช้งานบริการ Cloud ภายในประเทศที่ให้บริการเทคโนโลยีของ VMware และเชื่อมต่อระบบ Data Center ภายในธุรกิจองค์กรเข้ากับบริการ Cloud เหล่านี้สู่ภาพของ Hybrid Cloud หรือทำ Disaster Recovery ได้ทันที โดยมีทีมงานคนไทยคอยให้บริการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิด
ผู้ที่สนใจใช้บริการ VMware ในรูปแบบของการคิดค่าใช้จ่ายตามจริง สามารถติดต่อทีมงานของ VMware ประจำประเทศไทยได้ที่คุณปลา 081-913-3347 หรืออีเมล์ kemwat@vmware.com หรือสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ VCPP ได้ที่ https://www.vmware.com/partners/service-provider.html และสามารถตรวจสอบสถานะของบริษัทต่างๆ ที่เป็น VCPP ได้ที่ https://cloud.vmware.com/providers/