เมื่อวันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา คุณปณต กาญจนศูนย์ หัวหน้าแผนกการตลาดและดิจิทัลโซลูชัน กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในหัวข้อ “Creative Technology and the Future of Marketing: ขับเคลื่อนการตลาดยุคใหม่ ด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์” ในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2561 ของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (Marketing Association of Thailand) ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์พอยท์ เทอมินอล 21
โดยในงานนี้ สมาชิกของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยจากองค์กรชั้นนำได้เข้าร่วมการฟังสัมมนาเพื่ออัปเดตเทรนด์ความรู้เกี่ยวกับการตลาดในยุค 4.0 พร้อมสิ่งที่องค์กรจะต้องปรับตัว
คุณปณตได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของการตลาดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า “สมัยก่อน การทำการตลาดส่วนใหญ่มักเน้นการสร้าง Branding ซึ่งวัดผลได้ค่อนข้างยาก และถูกมองว่าเป็น Cost-center แต่ในปัจจุบันการทำการตลาดในยุคดิจิทัลจะเน้น Performance โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวัดผล ซึ่งส่งผลให้การทำ Branding วัดผลได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างผลกำไรให้กับองค์กรจนกลายเป็น Profit-center”
นอกจากนี้ คุณปณตยังได้เน้นย้ำว่า “สิ่งสำคัญของการทำการตลาดในยุคดิจิทัลคือหลักการ เพราะหลักการที่ดีจะช่วยขับเคลื่อนโลกดิจิทัลให้ก้าวไปข้างหน้า โดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันหลักการให้เกิดขึ้นได้จริง”
5 หลักการของการทำการตลาดยุคดิจิทัล
- Measurable การทำการตลาดในยุคดิจิทัล ถ้าองค์กรสามารถวัดผลที่เกิดขึ้นได้ จะทำให้สามารถจัดการและหาแนวทางแก้ไขเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายและขยายกิจการได้
- Automatable ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ นักการตลาดสามารถตั้งค่าและควบคุมเครื่องมือให้ดำเนินการได้เอง ซึ่งส่งผลให้ใช้คนในการทำงานน้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น
- Scalable หากเกิด Automation ขึ้นในองค์กร ก็จะสามารถขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นได้เช่นกัน
- Real-time การทำการตลาดยุคดิจิทัลนั้นเป็นแบบ Real-time ทำให้รู้ผลได้ทันทีว่าได้ Conversion เท่าไหร่ หรือ ยอดขายเท่าไหร่ ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยก่อนที่จะรู้ผลหลังจากจบแคมเปญแล้ว
- Actionable วัตถุประสงค์ของการทำการตลาดในยุคดิจิทัลไม่ควรทำเพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ควรส่งผลให้เกิดยอดขายด้วย

บทบาทและกลยุทธ์ของการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
คุณปณตได้เล่าว่า “ในอดีต ฝ่ายการตลาดอาจจะไม่ได้รับความสำคัญเทียบเท่ากับฝ่ายขายเนื่องจาก Performance ของทีมการตลาดนั้นวัดผลได้ค่อนข้างยาก แต่ในปัจจุบัน การตลาดในยุคดิจิทัลสามารถทำให้การวัดผลนั้นง่ายขึ้น ซึ่งการตลาดในยุคดิจิทัลนั้นเป็นองค์ประกอบหลักของการทำ Digital Transformation ถ้าองค์กรไม่พยายามปรับตัวและเปลี่ยนแปลง องค์กรจะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้”
“ในแง่ของการวางกลยุทธ์นั้น สมัยก่อนนักการตลาดมักเน้นการทำ Paid Media แต่ในปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่เน้นการใช้ Owned Media มากขึ้น โดยพยายามพึ่งพาการใช้ Paid Media ให้น้อยลง เนื่องจากคู่แข่งหลายรายใช้ Paid Media มากขึ้น จึงทำให้ราคาในการ Bidding สูงมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเน้นกลยุทธ์เชิง Content แต่กลยุทธ์ทางสาย Tech อย่างการทำ Machine Learning หรือ Big Data ยังค่อนข้างน้อย ดังนั้นยังมีโอกาสที่จะพัฒนาในด้านนี้อยู่มาก” คุณปณตเสริม
ในส่วนของบทบาทของนักการตลาดในปัจจุบัน คุณปณตกล่าวว่า “บทบาทของการทำการตลาดสมัยใหม่ คือ การผสมผสานหลายแผนกเข้าด้วยกัน ดังนั้น นักการตลาดไม่ควรมีความรู้เพียงแค่ด้านการตลาดแต่จำเป็นที่จะต้องมีความรู้และความเข้าใจในด้านเทคโนโลยีด้วย จะเห็นได้จากเทรนด์ในปัจจุบันที่ตำแหน่งใหญ่ทางด้านการตลาดของบริษัทชั้นนำบางแห่งเริ่มเปลี่ยนจาก Chief Marketing Officer เป็น Chief Marketing Technologist”
ไม่เพียงแค่บทบาทของนักการตลาดที่จะเปลี่ยนแปลงไปแต่ยังรวมถึงบริษัทเอเจนซีที่ควรจะเตรียมรับมือเพื่อให้เท่าทันโลกดิจิทัลด้วย คุณปณตได้เสริมว่า “ในอดีต เอเจนซีส่วนใหญ่แข่งขันทำการตลาดแบบดั้งเดิม ต่อมาเมื่อนักการตลาดภายในองค์กรสามารถทำการตลาดแบบดั้งเดิมได้เอง จึงทำให้เอเจนซีบางที่ไม่สามารถสร้างความแตกต่างและเกิดสงครามด้านราคาขึ้น แต่แนวโน้มในอนาคต เอเจนซีควรขยับไปทำ Digital Platform ให้มากขึ้น การทำเช่นนี้จะเป็นการสร้างความร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขันกัน เนื่องจากเอเจนซีต้องพึ่งพาพาร์ทเนอร์ที่มีความถนัดที่แตกต่างกันเพื่อรองรับความต้องการที่เกิดขึ้นและช่วยให้สามารถทำการตลาดได้ครบวงจรมากขึ้น”
เทคโนโลยีในปัจจุบันที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจ Customer Journey
คุณปณตได้ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันส่วนมาก คือ Cloud Technology เช่น Facebook และ Google AdWords ในการสร้างความเข้าใจในเรื่อง Customer Journey โดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลของจำนวนคนที่เข้าชมเว็บไซต์ วิเคราะห์ว่ายอดขายเกิดจากช่องทางไหน ไปจนถึงการนับ Conversion แบบ Real-time
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือทางการตลาดอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น
- Real-time Dashboard & NLP / Bidding Algorithm – Dashboard ที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้เองทำให้นักการตลาดประหยัดเวลาในการสร้างรีพอร์ตและมีเวลาในการวางแผนเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
- CRM – ระบบบริหารจัดการลูกค้าที่สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าและนำมาทำ Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพ
- Automation & Personalization Ads – การใช้ Machine Learning ในการออกแบบโฆษณาให้เป็นไปตามความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า
- Data Model for ROI Optimization – การใช้ Data Model เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มที่สุด
- High Performance Website – การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ประมวลผลรวดเร็ว ยกตัวอย่าง เช่น E-Commerce ในประเทศไทยที่สามารถทำให้เว็บไซต์ประมวลผลได้น้อยกว่า 3 วินาที จะมีโอกาสในการแข่งขันในระดับภูมิภาคได้มากกว่าบริษัทที่เว็บไซต์มีการประมวลผลช้า
- Real-time Analytics Dashboard เช่น BRIAN ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดออนไลน์ ทำให้องค์กรสามารถวิเคราะห์และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตนเองและคู่แข่งในเรื่องของเว็บไซต์ ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ผลตอบรับของการทำโฆษณาทางออนไลน์ และความเคลื่อนไหวทาง Social Media ได้
- Chatbot – เทคโนโลยีที่ช่วยให้สนทนากับลูกค้าได้อัตโนมัติ
- Technologies & Platforms Integrations – การนำเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มมาใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่มากขึ้น
สุดท้ายนี้ คุณปณตได้ทิ้งท้ายให้กับผู้ฟังว่าแนวโน้มการตลาดในอนาคตนั้นมีหลักการที่เหมือนกับปัจจุบัน แต่เทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนช่วยให้หลักการนั้นเกิดขึ้นจริงมากขึ้น ดังนั้น องค์กรควรที่จะต้องปรับตัวและรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อผลักดันให้เกิดหลักการดังกล่าว
สามารถดาวน์โหลด Slide ที่นี่
G-Able ขอขอบคุณสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยที่ให้การต้อนรับที่ดีอย่างล้นหลาม ทาง G-Able หวังว่าจะได้มีโอกาสในการร่วมงานและส่งเสริมพัฒนาด้านการตลาดของไทยให้แข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
เกี่ยวกับ G-Able
G-Able คือบริษัทผู้พัฒนา, ติดตั้งจนถึงให้บริการด้านระบบ IT และ Digital ในไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลกในด้าน Modern Digital Solutions, Enterprise Business Solutions และ IT Infrastructure Solutions โดยมีกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในภาคเอกชนและรัฐบาล
www.g-able.com
inquiry@g-able.com
โทร 02-781-9333