บริการคลาวด์คือหัวใจสำคัญของการเติบโตสำหรับองค์กรหลายๆ แห่ง ทั้งนี้ ข้อมูลของ IDC ระบุว่า ในปัจจุบัน ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทสหรัฐฯ กำลังพิจารณานำคลาวด์ส่วนตัวหรือ คลาวด์สาธารณะมาใช้ ขณะที่อีกหลายๆ บริษัทกำลังสร้างกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์อย่างเร่งด่วน 1 ปริมาณการใช้คลาวด์ที่เพิ่มขึ้นนี้กำลังสร้างผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงแผนทรัพยากรไอที ผลการสำรวจล่าสุดโดย IDC เปิดเผยว่างบประมาณด้านไอทีจะถูกจัดสรรตามช่วงเวลาอย่างไร ในขณะที่ทำการสำรวจ ผู้ตอบกล่าวว่าบริษัทใช้งบ 58 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณด้านไอทีไปกับสถาปัตยกรรมที่ไม่ใช่ระบบคลาวด์ และใช้ 42 เปอร์เซ็นต์ไปกับระบบคลาวด์ ทั้งนี้พวกเขาคาดการณ์ว่า จะมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์มากขึ้นเป็น 56 เปอร์เซ็นต์ในอีก 24 เดือนข้างหน้า
บริษัทวิจัยนี้ยังพบว่า บริษัทที่เริ่มนำคลาวด์มาใช้แล้ว มีแนวโน้มจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านคลาวด์ 34 เปอร์เซ็นต์ในอีก 24 เดือนที่จะมาถึง และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ คลาวด์กำลังขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ IDC พยากรณ์ว่า ธุรกิจต่างๆ จะใช้จ่ายเงิน 122,000 ล้านดอลลาร์ไปกับบริการไอที คลาวด์สาธารณะในปี 2018
การลงทุนด้านแอปพลิเคชันบนคลาวด์นี้ก่อให้เกิดความต้องการรูปแบบใหม่สำหรับระบบเครือข่าย สถาปัตยกรรมเครือข่าย WAN แบบเดิมได้รับการออกแบบให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อแอปพลิเคชันติดตั้งอยู่ในศูนย์ข้อมูลเป็นหลัก และด้วยเหตุที่แอปพลิเคชันคลาวด์และ Software-as–a-Service (SaaS) แพร่หลายมากขึ้น วิธีการแบบเดิมในการเชื่อมต่อสาขาและผู้ใช้กับแอปพลิเคชันจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง กล่าวสั้นๆ ก็คือ ธุรกิจต่างๆ จะต้องมองไปไกลกว่าเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ WAN ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Multiprotocol Label Switching (MPLS) เพื่อตอบสนองความต้องการของตน
นอกจากความต้องการวิธีใหม่ๆ ในการเชื่อมต่อผู้ใช้กับ SaaS และแอปพลิเคชันบนคลาวด์แล้ว องค์กรยังต้องมั่นใจว่าเครือข่าย WAN จะมอบสมรรถนะที่สม่ำเสมอกันทั่วทุกแหล่งการเชื่อมต่อ (เช่น DSL สายเคเบิล LTE และ MPLS) สามารถตรวจสอบสถานะ (Visibility) และควบคุมแอปพลิเคชันดั้งเดิมและแอปพลิเคชันบนคลาวด์ รวมทั้งการเตรียมให้บริการ (Service provisioning)
ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนแปลงไป
เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่ MPLS ถือกำเนิดขึ้น และมาแทนที่เฟรมรีเลย์ในฐานะโซลูชัน WAN ที่ได้รับความนิยมมากกว่า ความเชื่อถือได้ของ MPLS ผนวกกับความสามารถในการปฏิบัติตาม SLA เป็นสาเหตุทำให้มีการนำมาใช้มากขึ้น MPLS ช่วยให้เข้าถึงแอปพลิเคชันบนศูนย์ข้อมูลซึ่งมีจำนวนมากกว่าได้อย่างน่าเชื่อถือ ให้การสนับสนุนการสื่อสารแบบสาขาต่อสาขาสำหรับเสียงและภาพ และสามารถจัดการกับทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตปริมาณเล็กน้อยที่ไม่สำคัญซึ่งผ่านเข้ามายังเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ แอปพลิเคชันต่างๆ กำลังย้ายขึ้นไปบนคลาวด์ อีกทั้งสถาปัตยกรรม ความคล่องตัว และความยืดหยุ่นที่มาพร้อมการโยกย้ายดังกล่าวก็ไม่เอื้อต่อการใช้ MPLS ที่ไม่คล่องตัว แพงกว่า และไม่ได้สร้างมาเพื่อใช้กับสภาพแวดล้อมของแอปพลิเคชันคลาวด์
ตัวอย่างเช่น ใน MPLS การเข้าถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์ จะต้องไปตามเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างมากจากการเข้าถึงแอปพลิเคชันบนศูนย์ข้อมูล แม้ MPLS จะช่วยให้ผู้ใช้ในสาขาเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ติดตั้งในศูนย์ข้อมูลได้โดยตรง แต่ก็อาจสร้างเส้นทางที่วกวนและแพงขึ้นสำหรับผู้ใช้ในสาขาในการเข้าถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ในสถาปัตยกรรมคลาวด์ที่มีเครือข่าย WAN แบบ MPLS ทราฟฟิกจะต้องเดินทางผ่านเครือข่าย MPLS จากสำนักงานสาขาไปยังศูนย์ข้อมูลก่อนที่จะออกไปยังอินเทอร์เน็ตในท้ายที่สุด แล้วเดินทางกลับเข้ามาตามเส้นทางเดิม การทำเช่นนี้อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสมรรถนะและทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น
IDC ระบุว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของแอปพลิเคชันใหม่กำลังได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับคลาวด์โดยเฉพาะ และจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ MPLS มีประสิทธิภาพน้อยลง
แต่ปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ต้นทุนเพียงอย่างเดียว ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ก็กลายเป็นปัญหาด้วยเช่นกัน ความท้าทายของการใช้เครือข่าย MPLS แบบเดิมเพื่อเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนเว็บมักเกิดขึ้นเมื่อพนักงานรู้สึกหงุดหงิดกับสมรรถนะของแอปพลิเคชันที่สำนักงาน และพบว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่บ้านสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์ตัวเดียวกันนี้ได้เร็วกว่าที่สำนักงาน
มองไปไกลกว่า MPLS
ดังนั้น คำถามที่ฝ่ายไอทีขององค์กรมักถามก็คือ มีวิธีใดบ้างที่สามารถนำบรอดแบนด์มาใช้กับเครือข่าย WAN ขององค์กรเพื่อให้เข้าถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยลง สามารถนำแหล่งการเชื่อมต่อหลายแหล่ง เช่น MPLS บรอดแบนด์ LTE และอื่นๆ มาใช้โดยไม่ลดทอนความเชื่อถือได้ ความปลอดภัย และสมรรถนะในระดับสูงที่เคยได้รับจากสถาปัตยกรรม WAN ที่เคยใช้อยู่เดิมได้หรือไม่
การมองหาโซลูชันที่มีทั้งความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับขยายขนาด และต้นทุนเท่ากับบรอดแบนด์ ที่สามารถควบคุมและเชื่อถือได้ในระดับเดียวกับ MPLS ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ขณะนี้องค์กรต่างๆ มีโซลูชันที่เรียกว่า WAN ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software-Defined WAN หรือ SD-WAN) SD-WAN แก้ปัญหาจุดอ่อนมากมายที่พบในสถาปัตยกรรม WAN แบบเดิม ด้วยการนำโอเวอร์เลย์เสมือนที่ปลอดภัยมาวางซ้อนทับบน WAN เพื่อลดความซับซ้อนของการเตรียมใช้งานจากศูนย์กลาง แอปพลิเคชันและ Visibility ของผู้ใช้ รวมทั้งการใช้แหล่งการเชื่อมต่อหลายแหล่งพร้อมกันผ่านการควบคุมหลายพาธแบบไดนามิก (Dynamic multi-path control) โซลูชัน SD-WAN ที่ก้าวล้ำหน้ามากยิ่งขึ้นยังให้สมรรถนะสม่ำเสมอกัน ไม่ว่าจะเชื่อมต่อแบบใด และยังช่วยลดต้นทุนลงได้อย่างมากด้วย
โดยพื้นฐานแล้ว SD-WAN จะเปลี่ยน WAN เป็น LAN แบบกระจายตามภูมิศาสตร์ ทำให้องค์กรมีโซลูชันแบบไดนามิกที่ใช้ประโยชน์จากแหล่งการเชื่อมต่อหลายแหล่ง ทั้งยังนำมาปรับใช้ได้เร็วขึ้นและบริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง
Gartner ได้กล่าวถึงสี่องค์ประกอบหลักของโซลูชัน SD-WAN ไว้ดังนี้ SDWAN:
- เป็นอุปกรณ์น้ำหนักเบาที่มาแทนที่เราเตอร์ WAN แบบเดิม และรองรับการเชื่อมต่อหลายรูปแบบเช่น รองรับ MPLS, อินเทอร์เน็ต และ LTE
- ช่วยให้สามารถกระจายโหลด (Load sharing) ของทราฟฟิกทั่วทั้งการเชื่อมต่อ WAN หลายเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา โดยอ้างอิงตามนโยบายของธุรกิจหรือแอปพลิเคชัน
- ลดความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ การกำหนดค่า และการควบคุมดูแล WAN
- ต้องมี VPN ที่ปลอดภัยและสามารถรวมบริการเครือข่ายเพิ่มเติมได้
ข้อได้เปรียบของ Silver Peak
SD-WAN แต่ละประเภทไม่ได้สร้างมาให้เหมือนกันทั้งหมด แต่ด้วย Silver Peak SD-WAN, องค์กรสามารถแทนที่หรือเพิ่มบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตใน MPLS เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายด้านสมรรถนะของแอปพลิเคชัน เสริมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization) ระดับแนวหน้าเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานแบบเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ด้วย Silver Peak ความปลอดภัยจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยการทำ Micro-segmentation ใน WAN โดยผู้ดูแลระบบจะเป็นผู้กำหนดว่าใครควรใช้การเชื่อมต่อแบบใด และข้อมูลชนิดใดควรเดินทางไปตามเส้นทางที่ระบุไว้
นโยบายจุดประสงค์ของธุรกิจ (Business intent policies) สามารถกำหนดว่าทราฟฟิกใดเดินทางผ่านการเชื่อมต่อใด จึงช่วยยกระดับความปลอดภัยและช่วยให้บรรลุการปฏิบัติตามข้อกำหนดจากการแบ่งเซกเมนต์ และเมื่อไม่มีนโยบายใดกำหนดไว้ ระบบจะประเมินและเลือกเส้นทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอยู่เสมอ Silver Peak ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบรอดแบนด์ จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพเหมือนการเชื่อมต่อด้วยสายส่วนตัว (Private-line-like quality) และช่วยให้แอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ เช่น ภาพและเสียง ทำงานได้โดยไม่ลดทอนคุณภาพการให้บริการ (QoS)
SD-WAN ขจัดความยุ่งยากในการสร้างและเตรียมใช้งานเครือข่าย MPLS ที่อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนในบางครั้ง เพื่อเชื่อมต่อผู้ใช้ที่หลายสาขาเข้ากับแอปพลิเคชันที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยการติดตั้งแบบ Zero-touch deployment จะช่วยให้ Silver Peak SD-WAN สามารถสร้างการเชื่อมต่อจากสำนักงานสาขาใหม่โดยใช้ประโยชน์จาก 4G LTE ได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมเริ่มทำงานได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที จากนั้น สามารถนำอินเทอร์เน็ตแบบใช้สายหรือ MPLS มาใช้ในภายหลังได้เมื่อมีการสรุปเนื้อหาในสัญญาและจัดสรรเวลาด้านไอทีแล้ว นอกจากนี้ นโยบายและการมอบบริการยังไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการ ทำให้ง่ายต่อการเปลี่ยนผู้ให้บริการโดยไม่ทำให้การใช้งานหยุดชะงัก
เกี่ยวกับ Unity EdgeConnect
Unity EdgeConnect คือโซลูชัน SD-WAN ของ Silver Peak เป็นโซลูชัน WAN ที่แตกต่าง เนื่องจากมอบความยืดหยุ่นให้องค์กรและผู้ให้บริการในการเชื่อมต่อผู้ใช้กับแอปพลิเคชันต่างๆ อย่างปลอดภัยผ่านแหล่งการเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ ด้วย Unity EdgeConnect องค์กรสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนจากเครือข่าย MPLS มาใช้ SD-WAN ทั้งยังลดต้นทุนและความซับซ้อนของ WAN ลงได้อย่างมาก
Unity EdgeConnect ช่วยลดต้นทุนตั้งแต่เริ่มใช้ ด้วยการช่วยให้องค์กรใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตต้นทุนต่ำ และมีการเตรียมใช้งานแบบสัมผัสเป็นศูนย์ พร้อมผู้ควบคุมดูแลจากส่วนกลาง Silver Peak จึงลดต้นทุนการเชื่อมต่อและการดูแลระบบเครือข่ายที่ต้องแบกรับไว้ตลอดเวลาลงได้อย่างมาก Silver Peak สามารถช่วยประหยัดงบประมาณด้าน WAN ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในทั้ง Capex และ Opex สำหรับองค์กรที่เปลี่ยนไปใช้ระบบไฮบริดหรือดูอัลอินเทอร์เน็ต
โซลูชันของ Silver Peak นำเสนอความยืดหยุ่นหลายระดับ นอกจากจะช่วยให้ใช้การเชื่อมต่อรูปแบบใดก็ได้แล้ว องค์กรยังสามารถเลือกฟอร์มแฟคเตอร์ ทั้งที่เป็นแบบเครื่องจริง (physical) เครื่องเสมือน (virtual) และไฮเปอร์ไวเซอร์ (hypervisor) ให้ตรงกับตามความต้องการของตน Silver Peak ยังมอบการควบคุมและ Visibility ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งสำหรับแอปพลิเคชันบนศูนย์ข้อมูลแบบเดิม ทราฟฟิกของคลาวด์และอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้จะแสดงให้ฝ่ายไอทีเห็นอย่างชัดเจนว่าพนักงานกำลังใช้แอปพลิเคชันใด และใช้อย่างไร Silver Peak ช่วยให้มีความคล่องตัวด้านการทำงาน ด้วยความสามารถในการขยายการเชื่อมต่อไปยังไซต์งานระดับภูมิภาคอย่างรวดเร็วและปราศจากการหยุดชะงักในเวลาและสถานที่ที่ธุรกิจต้องการ
การเริ่มต้นใช้งาน Silver Peak นั้นง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องโละหรือเปลี่ยนสิ่งใด องค์กรสามารถเริ่มต้นเล็กๆ ด้วยการปรับใช้ Silver Peak ในสำนักงานสาขาและศูนย์ข้อมูลไม่กี่แห่ง เมื่อคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดีแล้ว ก็ค่อยขยายขนาดการปรับใช้เพื่อให้รองรับสำนักงานสาขานับพันๆ แห่ง ซึ่งล้วนบริหารจัดการจากเครื่องมือควบคุมดูแลแบบรวมศูนย์เพียงหนึ่งเดียว
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่ Silver Peak มอบ Visibility การควบคุม และความปลอดภัยให้กับทราฟฟิกทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาในเครือข่าย WAN ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนให้ธุรกิจของคุณได้ที่ http://www.silver-peak.com