ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณ Simon Davies ผู้ดำรงตำแหน่ง Vice President of Microsoft Business Solutions for Asia ในงาน Microsoft Worldwide Partner Conference 2016 (#WCP16) เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ล่าสุดอย่าง Microsoft Dynamics 365 ที่เพิ่งเปิดตัวไป กับกรณีศึกษาในการทำ Digital Transformation ขององค์กรต่างๆ ในแถบภูมิภาคเอเชีย จึงขอสรุปเรื่องราวให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ

Microsoft Dynamics 365: Cloud ที่รวมเอาทุก Business Application สำหรับองค์กรทุกขนาดไว้ด้วยกัน
Microsoft Dynamics 365 เป็นโซลูชันที่เพิ่งเปิดตัวก่อนงาน Microsoft WPC16 เริ่มได้เพียงไม่นานนัก แต่ก็เป็นโซลูชันที่มีการพูดถึงกันเยอะที่สุดในงานครั้งนี้เลยก็ว่าได้ โดยภายใน Microsoft Dynamics 365 นี้จะเป็นการรวมบริการ Cloud ของระบบ ERP, CRM, Finance และ SMB ของ Microsoft เอาไว้ด้วยกัน (ชื่อเดิมที่เราอาจคุ้นเคยกันก็คือ Dynamics AX, CRM, CRM Online, NAV) เพื่อให้ทุกๆ Business Application สำหรับการบริหารจัดการ Business Process ถูกรวมเข้าเสมือนเป็นระบบเดียว ทำให้องค์กรสามารถเริ่มต้นใช้งานจากระบบใดก่อนก็ได้ และต่อยอดไปใช้ระบบอื่นในภายหลังได้ รวมถึง Integrate เข้ากับระบบอื่นๆ นอกเหนือจากใน Microsoft Dynamics 365 ก็ได้เช่นกัน
การที่ระบบ Business Application เหล่านี้กลายเป็น Cloud ทั้งหมด ทาง Microsoft ก็ได้ชี้แจงว่าจะทำให้ทั้งองค์กรของลูกค้าและเหล่า Microsoft Partner สามารถมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการการทำงานและ Workflow ต่างๆ ในองค์กรได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพะวงกับระบบ IT Infrastructure แต่อย่างใดอีกต่อไป และการขึ้นระบบเหล่านี้ยังมีความรวดเร็วสูง เพิ่มขยายได้ง่าย พร้อมทั้งตอบกรับการทำ Digital Transformation อย่างเต็มตัวด้วยการรองรับการ Integrate กับระบบอื่นๆ เช่น Office 365, Azure IoT Suite, Azure Machine Learning, Cortana Intelligence Suite เพื่อให้กระบวนการการทำงานขององค์กรมีความเป็นอัตโนมัติและชาญฉลาดมากยิ่งขึ้นจากการนำข้อมูลหลากหลายแหล่งมาประมวลผล
Digital Transformation หน้าตาเป็นอย่างไร?: ตัวอย่างการทำ Digital Transformation ในแถบเอเชียด้วย Microsoft Dynamics
ถ้าจะนิยามอย่างย่นย่อนั้น การทำ Digital Transformation ก็คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจและ/หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการ ให้มีฐานการออกแบบ Business Process และ Business Model โดยอ้างอิงจากการนำข้อมูลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องในการทำธุรกิจมาใช้ผสานเข้าไปตั้งแต่แรก เพื่อยกระดับให้ธุรกิจมีคุณภาพ, ประสิทธิภาพ และความเป็นอัตโนมัติสูงยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจลงได้ พร้อมทั้งยังสามารถขยายบริการต่างๆ เพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
จากจุดนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าถ้าหากธุรกิจไม่ทำการปรับเปลี่ยนไปตามการทำ Digital Transformation เลยนั้น ก็จะไม่สามารถแข่งขันธุรกิจที่ทำ Digital Transformation จนกลายเป็น Digital Business ที่มีความคล่องตัวสูงกว่า, ต้นทุนต่ำกว่า, ขยายธุรกิจได้ง่ายกว่า และมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในทุกๆ กลยุทธ์มากกว่าได้อีกต่อไป
คุณ Simon ได้ยกตัวอย่างการทำ Digital Transformation ในเอเชียด้วยกัน 2 ตัวอย่าง ตัวอย่างแรกคือธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในอินเดียที่เป็นประเทศขนาดใหญ่และมีปัญหาด้านการคมนาคมขนส่ง ทำให้การกระจายสินค้าไปทั่วประเทศและการบริหารจัดการคลังสินค้าในแต่ละพื้นที่เป็นไปได้อย่างยากลำบาก ธุรกิจแห่งนี้ได้นำ Microsoft Dynamics เข้าไปช่วยให้การจัดการคำสั่งซื้อ, การติดตามสินค้า และการจัดการคลังสินค้าเกิดขึ้นได้บน Cloud ทั้งหมด ทำให้แต่ละสาขาของธุรกิจสามารถมีเพียงแค่ตัวอย่างสินค้า และทำการจัดส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ตามความต้องการของลูกค้า ในขณะที่ลูกค้าเองก็สามารถติดตามได้ด้วยว่าสินค้าที่สั่งซื้ออยู่ตรงไหนของประเทศแล้ว
อีกธุรกิจหนึ่งก็คือธุรกิจการบิน ที่เริ่มนำระบบทั้งหมดขึ้นไปอยู่บน Microsoft Dynamics เพื่อให้สาขาต่างๆ ของสายการบินทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลและ Business Application ได้ตลอดเวลาโดยไม่มี Downtime ในขณะที่เมื่อข้อมูลต่างๆ ถูกรวมศูนย์กันหมดและเข้าถึงได้จากทุกที่แล้ว การนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เข้ามาใช้ด้วย Microsoft Azure IoT Suite ก็ช่วยให้มีการติดตามข้อมูลต่างๆ ในกระบวนการการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นได้, นำ Microsoft Cortana Inteligence Suite และ Azure Machine Learning มาใช้วิเคราะห์และทำนายแนวโน้มต่างๆ ล่วงหน้าได้ รวมถึงเปิดให้ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลต่างๆ กับระบบ Bot ได้โดยตรง ไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ในการให้ข้อมูลตรงนี้อีกต่อไป
การกำจัด Silo ของข้อมูลในองค์กรได้ จะเป็นก้าวแรกสู่การทำ Digital Transformation
จากตัวอย่างข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่าการ Integrate ระบบต่างๆ หลากหลายเข้าด้วยกันและถักทอให้กลายเป็นระบบเดียวกันที่ทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบของกระบวนการการทำธุรกิจนั้น คือหัวใจหลักของการทำ Digital Transformation ดังนั้นด่านแรกที่ทุกๆ องค์กรต้องผ่านไปให้ได้ก่อนเลยก็คือ การกำจัดความเป็น Silo ของข้อมูลและระบบต่างๆ ในองค์กรให้ได้
ถึงแม้การกำจัดความเป็น Silo นี้จะสามารถทำได้หลายวิธี แต่การมาของระบบ Cloud อย่าง Microsoft Dynamics ก็จะเป็นอีกหนทางที่รวดเร็วทางหนึ่งในการแปลงระบบงานเดิมขององค์กรที่มีอยู่ให้รองรับการ Integrate, การ Scale และการต่อยอดด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคตได้มากขึ้นไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้การเข้าซื้อกิจการ LinkedIn ของ Microsoft เองก็จะเข้ามามีบทบาทในฐานะของฐานข้อมูลมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ และจะช่วยให้การผสานข้อมูลเข้ากับระบบของ Microsoft Dynamics 365 มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทำให้ทุกๆ การติดต่อสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการรู้จักตัวตนของกันและกันมากขึ้นนั่นเอง
Microsoft Partner ต้องปรับตัวขนาดใหญ่ การมีความรู้ความสามารถเฉพาะทางนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
ในงาน Microsoft WPC16 นี้ ทาง Microsoft ได้กล่าวแก่เหล่า Partner อยู่เสมอว่าการปรับตัวให้ประสบความสำเร็จได้ในยุคของ Cloud Business นี้คือการสร้างความแตกต่างด้วยการเสริมความรู้ความสามารถเฉพาะทางในการนำเทคโนโลยี IT เข้าไปจับกับธุรกิจต่างๆ ได้อย่างเฉพาะทาง รวมถึงการพัฒนา Intellectual Property เฉพาะของตนขึ้นมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นให้ได้ พร้อมต่อยอดด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง
ในขณะเดียวกันการจับมือกันระหว่าง Microsoft Partner ด้วยกันเองเพื่อสร้างความเข้มแข็งร่วมกันนั้นก็เป็นอีกภาพที่ Microsoft อยากให้เกิดขึ้น เพราะถ้าหาก Partner แต่ละรายที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ มาจับมือกัน การนำเสนอโซลูชันแก่ลูกค้าองค์กรต่างๆ ก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น และทุกๆ องค์กรก็จะสามารถทำ Digital Transformation ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วยความสนับสนุนจากมืออาชีพในศาสตร์ต่างๆ กัน
สุดท้าย ทางเหล่า Microsoft Partner ที่เลือกได้แล้วว่าต้องการจะเจาะตลาดกลุ่มไหนนั้น ก็ต้องมองภาพไปให้ไกลถึงการทำธุรกิจในระดับโลกในฐานะของผู้ให้บริการ Cloud ทางด้าน Business Application ในธุรกิจอุตสาหกรรมหนึ่งๆ ที่พร้อมจะตอบโจทย์ทุกๆ ธุรกิจในทุกๆ ขนาดจากทุกๆ ประเทศทั่วโลกให้ได้ เป็นก้าวสุดท้ายของการปรับตัวเข้าสู่ยุคของการทำ Cloud Business ได้อย่างแท้จริง
ก็จบบทสัมภาษณ์เพียงเท่านี้ครับผม ทางทีมงาน TechTalkThai ต้องขอขอบคุณ Microsoft ที่ให้โอกาสมาร่วมงาน Microsoft WPC16 ถึงแคนาดาในครั้งนี้ด้วยครับ