ทุกธุรกิจองค์กรนั้นต่างรู้กันดีว่าโจทย์สำคัญสำหรับปี 2021 นี้ คือการทำอย่างไรเพื่อปรับให้การทำงานของพนักงานภายในองค์กรนั้นเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะที่ไม่แน่นอน โดยการลงทุนนั้นต้องไม่สูงจนเกินไป ในขณะที่ยังคงต้องตอบโจทย์ด้านความมั่นคงปลอดภัยและพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA ที่กำลังจะบังคับใช้ในปีนี้
นอกจากนี้ เพื่อให้การลงทุนในครั้งนี้เกิดผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว การปรับการทำงานในครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่จะต้องรองรับการทำงานแบบ Work from Home ได้ในระยะสั้น แต่ยังต้องรองรับการปรับไปสู่ Hybrid Work อย่างเต็มตัวได้ในระยะยาว เพื่อให้สามารถรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้อยู่ตลอด อีกทั้งในอนาคตเองก็ยังสามารถปรับรูปแบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นได้ และยังตอบรับต่อการทำ Business Continuity Plan หรือ BCP สำหรับรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้อีกด้วย
ด้วยโจทย์ดังกล่าวนี้ Windows Virtual Desktop (WVD) หรือเทคโนโลยี VDI ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจองค์กรไม่น้อยในการนำมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานไปสู่รูปแบบ Hybrid Work อย่างเต็มตัว ด้วยการนำแนวคิดของ Cloud Desktop มาผสานเข้ากับเทคโนโลยีด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลบน Cloud พร้อมบริการจาก AIS Business ที่จะช่วยเชื่อมต่อระบบของ Windows Virtual Desktop ให้สามารถทำงานร่วมกับระบบ Application ที่ธุรกิจองค์กรใช้งานอยู่ได้อย่างมั่นใจ
Windows Virtual Desktop ตอบโจทย์การทำงานจากที่บ้านได้ด้วยประสบการณ์เหมือนการทำงานจากออฟฟิศ
ถึงแม้เทคโนโลยีสำหรับใช้ในการตอบโจทย์ Work from Home และ Hybrid Work นั้นจะมีด้วยกันหลากหลาย แต่บริการ Cloud Desktop อย่าง Windows Virtual Desktop นี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำมาตอบโจทย์นี้ได้อย่างโดดเด่น ด้วยคุณสมบัติดังนี้
ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Windows Virtual Desktop ได้จากทุกที่ทุกเวลาจากทุกอุปกรณ์อย่างมั่นคงปลอดภัย ทำงานแบบ Hybrid Work ได้ตามต้องการ
ใช้งานได้ง่าย ด้วยประสบการณ์การทำงานแบบเดิม
ในมุมของผู้ใช้งานนั้น ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อเข้าไปยัง Windows Virtual Desktop ของตนเองได้ผ่านทาง Web Browser โดยการ Login ด้วย Username และ Password เดียวกับที่เคยใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ทันที เพราะระบบสามารถทำการเชื่อมต่อกับ Active Directory ที่ธุรกิจใช้งานอยู่ภายในองค์กร หรือเชื่อมต่อกับ Azure AD บน Cloud ก็ได้เช่นกัน
เมื่อทำการ Login เสร็จแล้ว ผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองบน Cloud ได้ ซึ่งภายในเครื่อง Windows Virtual Desktop นี้จะมีการติดตั้ง Corporate Application และเชื่อมต่อกับข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานเอาไว้อย่างครบถ้วน ดังนั้นไม่ว่าจะเชื่อมต่อเข้าไปด้วยเครื่อง PC, Notebook, Tablet หรือ Smartphone นั้น ก็จะได้รับประสบการณ์เสมือนกับว่านั่งทำงานอยู่ภายในออฟฟิศเหมือนกันเสมอ
ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ ข้อมูลของการทำงานทั้งหมดจะไม่ถูกจัดเก็บอยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้งานเลย ทำให้มั่นใจได้ว่าแม้อุปกรณ์ของผู้ใช้งานจะสูญหายหรือเสียหายไป ก็จะไม่กระทบกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานทั้งสิ้น และผู้ใช้งานสามารถทำการเปลี่ยนอุปกรณ์และเชื่อมต่อเข้ามายังระบบ Windows Virtual Desktop ขององค์กร เพื่อทำงานต่อเนื่องได้ทันที
เพิ่มทรัพยากรได้อย่างยืดหยุ่น หมดกังวลเรื่องเครื่องช้า
ถ้าหากผู้ใช้งานรู้สึกว่าระบบสามารถทำงานได้ช้าเพราะไม่มีทรัพยากรในการประมวลผลเพียงพอ ก็สามารถแจ้งผู้ดูแลระบบ IT เพื่อเพิ่มขยายทรัพยากรได้ทันที เนื่องจาก Windows Virtual Desktop นี้ทำงานอยู่บนบริการ Cloud ชั้นนำอย่าง Microsoft Azure จึงสามารถเพิ่มขยายทรัพยากรได้ตามต้องการ
โดยสรุปแล้ว การใช้ Windows Virtual Desktop นี้ก็เปรียบเสมือนกันการย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำตัวของพนักงานแต่ละคนขึ้นไปอยู่บน Cloud แล้วเปิดให้พนักงานแต่ละคนสามารถทำการเชื่อมต่อเข้าไปใช้งานได้จากทุกที่ทุกเวลาอย่างมั่นคงปลอดภัยนั่นเอง
ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการ Windows Virtual Desktop ได้จากศูนย์กลาง ควบคุมการใช้งานได้อย่างคุ้มค่า
เริ่มต้นใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องติดตั้งระบบเองทั้งหมด
ในมุมของผู้ดูแลระบบนั้น การใช้ Windows Virtual Desktop นี้สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ด้วยการ Login เข้าไปบริหารจัดการผ่าน Microsoft Azure และทำการสร้างเครื่อง Virtual Desktop ให้พนักงานใช้เท่านั้น โดยไม่ต้องยุ่งยากในการจัดการติดตั้งระบบส่วนอื่นๆ เนื่องจาก Microsoft ได้เตรียมระบบให้พร้อมใช้งานได้แล้วบน Cloud
Windows Virtual Desktop นี้สามารถทำการผูกระบบยืนยันตัวตนเข้ากับ Microsoft Active Directory ภายในองค์กรก็ได้ หรือจะสามารถผูกการยืนยันตัวตนเข้ากับ Microsoft Azure AD ก็ได้ ดังนั้นผู้ดูแลระบบจึงมั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานจะยังคง Login เข้าไปใช้งานเครื่อง Cloud Desktop เหล่านี้ได้ด้วย Username และ Password ชุดเดิม
บริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง ผู้ใช้งานยังคงมีความเป็นส่วนตัวในการทำงาน
ในเชิงของการบริหารจัดการ ผู้ดูแลระบบสามารถสร้าง Template ของ WindowsVirtual Desktop ขึ้นมาได้ โดยภายในแต่ละ Template นั้นจะสามารถระบุได้ว่าแต่ละเครื่องจะมีการติดตั้ง Application อะไรเอาไว้บ้าง เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดได้ว่าเครื่อง Cloud Desktop สำหรับพนักงานแต่ละแผนกที่ต้องการ Application และทรัพยากรที่แตกต่างกันนี้จะเป็นอย่างไร เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ และหากต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ก็สามารถทำการเปลี่ยนแปลงบน Template ของแต่ละแผนกได้ทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาติดตั้งหรือแก้ไขทีละเครื่องอย่างการดูแลเครื่อง PC ในอดีตอีกต่อไป
สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย ผู้ดูแลระบบสามารถทำการเชื่อมให้ Windows Virtual Desktop บน Microsoft Azure มีเครือข่ายที่เชื่อมต่อกลับมายัง Data Center ขององค์กรได้ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าในกรณีที่มีระบบ Application หรือข้อมูลเฉพาะอยู่ภายในองค์กรแล้ว ผู้ใช้งานจะยังคงสามารถทำงานได้เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ Windows 10 Virtual Desktop นี้จะมีการใช้งานเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า FSLogix ซึ่งจะทำให้ระบบมีการจัดเก็บ Profile ของผู้ใช้งานแต่ละคนแยกออกจากกัน โดยเมื่อผู้ใช้งานทำการ Login แล้ว ระบบก็จะนำข้อมูล Profile ส่วนนี้มาใช้ในเครื่องของผู้ใช้งานคนนั้นๆ ด้วย ทำให้ข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนเคยใช้ เช่น ประวัติการเข้าเว็บไซต์ การจัดตำแหน่งของสิ่งต่างๆ บนหน้าจอ หรือประวัติการเปิดไฟล์ต่างๆ นั้นติดตามผู้ใช้งานไปด้วย เสมือนกับว่ากำลังใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เดิมในการทำงาน
มั่นคงปลอดภัย ตอบโจทย์ธุรกิจได้ในระยะยาว
ในเชิงของความมั่นคงปลอดภัย Windows Virtual Desktop นี้ทำงานอยู่ภายใน Microsoft Azure ที่มีการควบคุมดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสูงของ Microsoft และสามารถปรับแต่งการตั้งค่าด้านความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มเติมให้สอดคล้องต่อความต้องการของธุรกิจองค์กรได้ รวมถึงยังสามารถกำหนดให้ทำ Compliance ตามมาตรฐานที่ต้องการ รวมถึงการตอบรับต่อพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังจะบังคับใช้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถทำการ Backup ข้อมูลได้ง่ายเพื่อให้ครอบคลุมต่อการรับมือกับ Ransomware
ลงทุนคุ้มค่า คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง
การใช้ Windows Virtual Desktop นี้ยังช่วยให้ธุรกิจองค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากการที่ระบบทั้งหมดทำงานอยู่บน Cloud ดังนั้นจึงสามารถทำการเพิ่มลดทรัพยากรตามการใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่เกิดการลงทุนที่เสียเปล่าเหมือนการซื้ออุปกรณ์อย่างในอดีตแน่นอน
นอกจากนี้ WindowsVirtual Desktop ยังมีการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง รวมถึงยังสามารถเลือกใช้ Windows 10 Enterprise Multi-session ที่เป็นระบบปฏิบัติการพิเศษโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ใช้งานหลายคนทำการ Login เข้ามาใช้งานเครื่องเดียวกันได้ ทำให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกในการประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ด้วยแนวทางดังกล่าวนี้ ธุรกิจองค์กรจึงสามารถใช้งาน Windows Virtual Desktop เพื่อสร้างระบบ Cloud Desktop สำหรับพนักงานในแต่ละแผนกขององค์กร โดยติดตั้ง Application ที่จำเป็นต่อการทำงานของแต่ละคนลงไป และเชื่อมต่อกับ Server ต่างๆ ที่จำเป็นทั้งบน Cloud และภายใน Data Center เพื่อให้พนักงานคนนั้นสามารถทำการเชื่อมต่อไปยัง Cloud Desktop ของตนเอง และทำงานได้ด้วย Application และข้อมูลเดียวกับที่ใช้ภายในออฟฟิศได้ทันที
ที่ผ่านมาหลายธุรกิจองค์กรนั้นได้มีการเลือกใช้งาน Windows Virtual Desktop ในการทำงานแบบ Work from Home กันมาบ้างแล้ว โดยสำหรับบางองค์กรนั้นก็ตัดสินใจเลือกใช้ Windows Virtual Desktop เป็นหลักในการทำงาน ในขณะที่บางองค์กรนั้นก็เลือกใช้ Windows Virtual Desktop สำหรับเฉพาะแผนกหรือพนักงานบางคนที่จำเป็นต้องมีการใช้งาน Application หรือระบบข้อมูลเฉพาะทางเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ธุรกิจเองก็สามารถเลือกใช้งาน Windows Virtual Desktop ให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้
AIS Business ในฐานะพันธมิตรของ Microsoft เองก็พร้อมให้บริการ Windows Virtual Desktop อย่างเต็มตัว โดยนอกเหนือจากการช่วยออกแบบระบบ, ติดตั้งใช้งาน และการฝึกอบรมแล้ว AIS Business เองก็ยังมี AIS ExpressRoute ซึ่งเป็นบริการเชื่อมต่อเครือข่ายตรงไปยัง Microsoft Azure ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Windows Virtual Desktop นั้นมีความลื่นไหลสูงสุดอีกด้วย
ผสาน Windows Virtual Desktop พร้อมก้าวสู่ Hybrid Work ได้ทันทีที่ต้องการ
Windows Virtual Desktop นี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำ Work from Home ได้อย่างง่ายดายและมั่นใจเท่านั้น แต่ในระยะยาว Windows Virtual Desktop เองก็ถือเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อคธุรกิจให้สามารถทำงานแบบ Hybrid Work ได้อย่างเต็มตัวในอนาคต เพราะด้วยการใช้งาน Cloud Desktop นี้ ไม่ว่าพนักงานจะทำงานจากที่บ้านหรือภายในออฟฟิศ ก็จะได้รับประสบการณ์ในการทำงานรูปแบบเดียวกันเสมอ และเข้าถึงระบบ Application หรือข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงานได้อยู่ตลอด ทำให้การทำงานจากทุกที่ทุกเวลานั้นเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
นอกเหนือจากความสะดวกสบายในการเข้าถึง Windows 10 Virtual Desktop ได้จากทุกอุปกรณ์บนทุกเครือข่ายแล้ว AIS และ Microsoft เองก็ยังพร้อมจะมอบความมั่นคงปลอดภัยให้กับธุรกิจองค์กร ด้วยการนำเทคโนโลยีด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของ Microsoft Azure ผสานกับบริการให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยอย่างครบวงจรของ AIS เพื่อช่วยปกป้องให้ระบบ Cloud Desktop และข้อมูลสำคัญของธุรกิจนั้นมีความมั่นคงปลอดภัย และตอบโจทย์ต่อพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA ได้ในเวลาเดียวกัน
ใช้งาน Windows Virtual Desktop เพื่อก้าวสู่การทำงานแบบ Hybrid Work ได้ทันที ด้วยเทคโนโลยีและบริการสำหรับภาคธุรกิจครบวงจรจาก AIS Business และ CSL
AIS Business และ CSL พร้อมสนับสนุนให้ทุกธุรกิจไทยปรับตัวสู่แนวทางการทำงานแบบ Hybrid Work ซึ่งเป็นการทำงานโดยมีเทคโนโลยีเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดการทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลาโดยที่พนักงานและผู้บริหารนั้นสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงานได้อย่างครบถ้วน รวดเร็ว และมั่นคงปลอดภัย ดังนั้นสถานที่ในการทำงานจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป และทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวสู่การทำงานแบบ Work from Home ได้ทันทีที่ต้องการหากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกครั้งหนึ่ง
AIS Business และ CSL มีโซลูชันทางเทคโนโลยีที่หลากหลาย ทั้งบริการด้านระบบเครือข่าย, Cloud, Data Center, ระบบโทรศัพท์ และระบบประชุมงาน โดย Windows Virtual Desktop นี้ถือเป็นหนึ่งในบริการหลักที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจองค์กรไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งทีมงาน AIS Business และ CSL ก็พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยธุรกิจองค์กรให้เปลี่ยนจากอุปกรณ์ PC มาสู่การใช้ Cloud Desktop ได้อย่างเต็มตัว
ลูกค้าองค์กรที่สนใจสมัครใช้บริการ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Windows Virtual Desktop สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ AIS Business ที่ดูแลองค์กรของท่าน หรือศึกษารายละเอียดของบริการต่างๆ และสมัครหรือแจ้งความต้องการผ่านเว็บได้ที่