Black Hat Asia 2023

Gigamon เปิดตัว Hawk พร้อมจับมือ AWS ยกระดับการใช้ Cloud ให้ง่ายและมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ความซับซ้อนของระบบ IT เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามการเร่งทำ Digital Transformation ขององค์กรทั่วโลก ก่อให้เกิดช่องโหว่ด้าน Visibility หรือความสามารถในการติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนระบบแบบไฮบริดอย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเครื่องมือบนระบบเครือข่ายขาดความสามารถในการติดตามทราฟฟิกบน Cloud ในขณะที่เครื่องมือบน Cloud ก็ขาดความสามารถในการติดตามทราฟฟิกบนเครือข่าย เรียกได้ว่าแต่ละเครื่องมือถูกออกแบบมาให้ใช้งานในระดับแอปพลิเคชันบนสภาพแวดล้อมของตนเท่านั้น นอกจากนี้ โซลูชันด้าน Visibility แบบดั้งเดิมก็ไม่สามารถขยายการใช้งานให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งนำไปสู่การสร้างประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักให้แก่ลูกค้า เกิดจุดบอดด้านความมั่นคงปลอดภัย และปัญหาเรื่องการปฏิบัติการกฏหมายและข้อบังคับตามมา

เพื่อปิดช่องโหว่ด้าน Visibility บน Cloud ดังที่กล่าวไปข้างต้นนี้ Gigamon จึงได้เปิดตัว Hawk ระบบ Visibility และ Analytics แรกในตลาดที่มีความยืดหยุ่นสูง สำหรับติดตามข้อมูลที่รับส่งไปมาระหว่างเครือข่ายระบบ Cloud โดยเป็นโซลูชันเดียวที่มีความสามารถดังต่อไปนี้

  • ความสามารถในการติดตามเหตุการณ์อย่างยืดหยุ่นบนทุกระบบ Cloud: Visibility-as-Code ของ Hawk สามารถฝังเข้าไปยังระบบ Cloud Automation เพื่อให้สามารถขยายระบบแบบ Scale-up และ Scale-out ได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการ โดยใช้โมเดล License เดียวแบบจ่ายตามการใช้งานจริงซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งบน Public และ Private Cloud อย่างไร้รอยต่อ
  • ความสามารถในการติดตามเหตุการณ์บน Cloud สำหรับเครื่องมือที่ใช้บนระบบเครือข่าย: Hawk ให้บริการเครื่องมือบนระบบเครือข่ายที่สามารถติดตามเหตุการณ์ตั้งแต่ Layer 2 – 7 บนเครือข่ายระบบ Cloud ใดๆ ก็ได้โดยไม่ต้องติดตั้ง Agent
  • ความสามารถในการติดตามเหตุการณ์บนระบบเครือข่ายสำหรับเครื่องมือที่ใช้บน Cloud: Hawk ให้บริการ “ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์” ของข้อมูลที่รับส่งไปมาบนเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการติดตามทราฟฟิกที่รับส่งแบบ East-West ระหว่าง Container หรืออุปกรณ์ประเภท Unmanaged ผ่านทาง Network Application Metadata

ด้วยคุณสมบัติด้าน Visibility อันแสนยืดหยุ่นอย่างไร้คู่เปรียบของ Gigamon Hawk นี้ ทำให้การจัดการระบบแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังลดช่องโหว่ด้านความมั่นคงปลอดภัยและช่วยเพิ่มความสามารถในการติดตามเหตุการณ์บนระบบ Cloud ได้อย่างครอบคลุม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะขยายระบบออกไปขนาดไหน

Hawk ให้บริการในรูปของ Subscription โดยสามารถขยายการใช้งานได้ตามการเติบโตของธุรกิจ พร้อมบริการหลังการขายและฟีเจอร์ดังต่อไปนี้

  • ชุด Visibility Nodes ที่สามารถขยายการใช้งานได้ทั้งแบบ Scale-up และ Scale-out ตามความต้องการของเครือข่ายระบบ Cloud
  • Data Warehouse บน Cloud สำหรับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและแอปพลิเคชันการวิเคราะห์เชิงปฏิบัติการ
  • อินเทอร์เฟสแบบหน้าเดียว ใช้งานง่าย สามารถบริหารจัดการได้ด้วยการลากวาง และรองรับการเชื่อมต่อกับระบบงานอื่นๆ

Hawk ถูกผสานรวมกับ AWS รวมไปถึงเครื่องมือและแพลตฟอร์มระบบ Cloud ชั้นนำอื่นๆ โดยให้บริการมุมมองแบบบูรณาการครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริด ฟีเจอร์ของ Hawk for AWS ประกอบด้วย ความสามารถในการติดตามเหตุการณ์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งสามารถขยายระบบแบบ Scale-out เพื่อจับทราฟฟิกจาก EC2 Instance ใหม่ได้โดยอัตโนมัติ สามารถคัดลอกและทำซ้ำทราฟฟิกกระจายไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถดึง Metadata ของระบบเครือข่ายและแอปพลิเคชันมาจัดเก็บไว้บน AWS Bucket สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังหรือแบบเกือบเรียลไทม์ได้อีกด้วย

“การช่วยลูกค้าให้ดึงประสิทธิภาพของการลงทุนและโซลูชันบน Cloud ออกมาเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของงานของเราที่ AWS จากการที่องค์กรต่างย้ายภาระงานขึ้นสู่ Cloud ทำให้องค์กรเหล่านั้นต้องการทำให้มั่นใจว่า ตนเองมี Visiblity ที่สามารถติดตามช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนบนระบบของตน ยกตัวอย่างการใช้ AWS และ Gigamon Hawk  เช่น ใช้ Hawk เก็บรวบรวม Metadata ของแอปพลิเคชันไว้บน S3 Bucket แล้วนำมาวิเคราะห์โดยใช้ Amazon Athena วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดบนทั้งบนระบบ Cloud และระบบแบบไฮบริดได้ สร้างความมั่นใจในการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการขยายระบบในอนาคต” — Scott Ward, Principal Solutions Architect จาก AWS

“เราเห็นว่าลูกค้าโดยส่วนใหญ่มีการเร่งนำแอปพลิเคชันและภาระงานที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจขึ้นสู่ Cloud ส่งผลให้ระบบ Cloud แบบไฮบริดมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น สร้างความท้าทายอันแสนยุ่งยากให้แก่ฝ่าย IT และ InfoSec ที่จะต้องติดตามและควบคุมทราฟฟิกให้ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญในเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ระบบเครือข่าย เพื่อให้องค์กรสามารถส่งมอบประสบการณ์อันแสนยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าได้ อย่างไรก็ตาม จากการที่เครื่องมือเฝ้าระวังระบบเครือข่ายแบบดั้งเดิมขาดความสามารถในการติดตามเหตุการณ์บน Cloud ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ Cloud สร้างจุดบอดที่เป็นอันตรายต่อระบบเครือข่าย แต่ปัญหาด้านการติดตามและควบคุมเหตุการณ์บนระบบ Cloud นี้สามารถแก้ไขได้เป็นอย่างดีโดยใช้โซลูชัน Cloud Visibility แบบ Next-generation อย่างที่ Gigamon ให้บริการ” — Mark Leary, Research Director จาก IDC

“ในขณะที่เส้นทางของการขึ้น Cloud แตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร การบริหารจัดการความซับซ้อนของระบบ IT เป็นความท้าทายสากลที่เราพบเจอกับลูกค้ามากกว่า 700 รายที่ซื้อโซลูชัน Cloud Visibility จากเรา เรามีความภูมิใจในการทำงานร่วมกับ AWS และผู้ให้บริการระบบ Cloud ชั้นนำรายอื่นๆ เพื่อส่งมอบโซลูชันที่ช่วยให้ลูกค้าของเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขึ้น Cloud ได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยโซลูชัน Hawk นี้ ทำให้องค์กรสามารถจัดการกับเครือข่ายระบบ Cloud แบบไฮบริดได้ง่ายและมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในความพร้อมที่จะขยายระบบเพื่อรองรับการความต้องการของธุรกิจในอนาคตอีกด้วย” — Michael Dickman, Chief Product Officer จาก Gigamon

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Gigamon Hawk ได้ที่ Blog หรือ Website

เกี่ยวกับ Gigamon

Gigamon เป็นบริษัทแรกที่ให้บริการโซลูชัน Visibility และ Analytics แบบบูรณาการสำหรับข้อมูลที่รับส่งไปมาบนเครือข่ายระบบ Cloud แบบไฮบริด เพื่อแก้ปัญหาด้านความมั่นคงปลอดภัย ประสิทธิภาพ และปัญหาเรื่องงบประมาณ ช่วยให้องค์กรมีอิสระในการเร่งนำนวัตกรรมดิจิทัลมาพลิกโฉมธุรกิจ Gigamon ได้รับรางวัลจากการจดทะเบียนสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีมากกว่า 75 รายการ และครองตำแหน่งผู้นำด้านความพึงพอใจของลูกค้าที่มีมากกว่า 3,000 ราย ซึ่งรวมไปถึง 80% ของลูกค้าที่อยู่ใน Fortune 100, หน่วยงานรัฐและสถาบันศึกษาอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก Gigamon มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Silicon Valley และให้บริการลูกค้าทั่วทุกภูมิภาค ผู้ที่สนใจเรียนรู้ว่า Gigamon สามารถช่วยให้องค์กรเดินหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคงปลอดภัยได้อย่างไร เชิญเยี่ยมชมเว็บไซต์และได้ที่ www.gigamon.com หรือติดตาม Twitter @gigamon


About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

QNAP ออกประกาศเตือนช่องโหว่ Linux Sudo ใหม่บนอุปกรณ์ NAS

QNAP ออกประกาศเตือนช่องโหว่ Linux Sudo ใหม่บนอุปกรณ์ NAS ล่าสุดออกแพตช์อุดช่องโหว่นี้แล้วบางส่วน

AIS ย้ำผู้นำบทใหม่ตัวจริง สร้างเศรษฐกิจแบบร่วมกัน ECOSYSTEM ECONOMY พร้อมก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือชั้น ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลก ขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจฐานรากสู่การเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจดิจิทัล [press release]

AIS ปักหมุดแผนการดำเนินงานปี 2023 มุ่งสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจแบบร่วมกัน หรือ ECOSYSTEM ECONOMY ผสานความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมร่วมผู้ประกอบการ พร้อมสร้างศักยภาพของคนไทย ผ่านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีความอัจฉริยะ บนโครงข่าย 5G และเน็ตบ้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคนไทย