ในงาน Gartner Symposium/ITxpo ทาง Gartner ได้ออกมาทำนายถึง 10 แนวโน้มทางด้านธุรกิจ IT ในอนาคตนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไป ซึ่งเนื้อหานั้นเรียกได้ว่าครอบคลุมแทบทุกธุรกิจและทุกคนบนโลกเลยทีเดียว ทางทีมงาน TechTalkThai ขอนำมาสรุปย่นย่อเอาไว้ให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ
1. ภายในปี 2020 ผู้ใช้งาน 100 ล้านคนจะซื้อสินค้าผ่านทาง Augmented Reality
เทคโนโลยี Autmented Reality (AR) นั้นจะกลายมาเป็นที่นิยม และทำให้ห้างร้านต่างๆ สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าได้ โดยอุปกรณ์ Mobile Device จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลก Digital เข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งแบรนด์และห้างเองก็จะต้องนำแนวคิดนี้ไปใช้สร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยการเสริมข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อคววาม, รูปภาพ, วิดีโอ, เสียงเข้าไปในการชอปปิ้งเพื่อสร้าง Engagement ได้จากทั้งภายในและภายนอกร้านค้า ตัวอย่างเช่น IKEA อาจจะเปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าจาก Catalog ออกมาแสดงเป็นวัตถุ 3 มิติและทดลองวางในบ้านของตัวเองผ่านระบบ AR ได้เลย เป็นต้น
2. ภายในปี 2020 30% ของการเข้าถึงข้อมูลภายใน Website จะไม่ต้องใช้หน้าจออีกต่อไป
เทคโนโลยีที่ใช้เสียงเป็นหลักในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเช่น Google Home หรือ Amazon Echo นั้นจะช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ บนเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องอาศัยหน้าจอแสดงผลอีกต่อไป และกลายเป็นจุดกำเนิดของ Platform แบบ Voice-First Interaction ขึ้นมา และทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ทุกเวลามากกว่าแต่ก่อนเพราะไม่ต้องใช้สายตาในการรับชมข้อมูลอีกต่อไปแล้ว ส่งผลให้ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลาอย่างแท้จริง
3. ภายในปี 2019 20% ของแบรนด์ต่างๆ จะเลิกพัฒนา Mobile Application ของตน
แบรนด์ต่างๆ เริ่มพบแล้วว่าการติดตั้งใช้งาน, การเกิด Engagement และความคุ้มค่าในการของทุนของ Mobile Application นั้นมีน้อยกว่าที่คาดหวังเอาไว้มาก ในขณะที่วิธีการใหม่ๆ ในการเข้าถึงและ Engage ลูกค้านั้นเริ่มเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ โดยไม่มีปัญหาอย่างเช่นความยุ่งยากในการติดตั้งหรือค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง ดังนั้นหลายๆ องค์กรก็จะเริ่มประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการหยุดพัฒนา Mobile Application ของตนต่อในอนาคต
4. ภายในปี 2020 อัลกอริธึมจะช่วยให้วิธีการทำงานของแรงงานกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลกดีขึ้น
อัลกอริธึมที่วิเคราะห์ข้อมูล Context สำหรับผู้ใช้งานแต่ละคนได้นั้นมีความก้าววหน้ามากขึ้นและเริ่มนำศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่าง Psychology, Social Neuroscience และ Cognitive Science เข้าไปผสานมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมนุษย์นั้นถ้าหากเหนื่อยหรือมีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง การตัดสินใจในแต่ละครั้งก็อาจผิดพลาดหรือไม่สมเหตุสมผลได้ อัลกอริธึมต่างๆ เหล่านี้จะเข้ามาช่วยแจ้งเตือนหรือนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ ที่ทำให้คนทำงานแต่ละคนสามารถตัดสินใจหรือเลือกใช้วิธีการทำงานที่ดีขึ้นได้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นด้วย
5. ภายในปี 2022 ธุรกิจที่ใช้ Blockchain เป็นหลักจะมีมูลค่า 10,000 ล้านเหรียญ
Blockchain จะกลายเป็นเทคโนโลยีหลักแห่งอนาคตสำหรับการบันทึก Transaction ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส ทำให้ทุกๆ การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาหลักนาที และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เคยมีอยู่เดิมไปได้ทั้งหมด ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยอาศัย Blockchain นี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ตาม แต่ความน่าดึงดูดทั้งในเชิงผลิตภัณฑ์และการลงทุนถือว่าสูงมาก
6. ภายในปี 2021 20% ของกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตของผู้คน จะเกี่ยวข้องกับ 1 ใน 7 ของผู้พัฒนาเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
ผลิตภัณฑ์ของ Google, Apple, Facebook, Amazon, Baidu, Alibaba และ Tencent จะเข้าไปมีบทบาทในชีวิตของผู้คนในทุกๆ แง่มุมหลังจากที่โลกเริ่มเปลี่ยนไปเป็น Digital มากขึ้น และทุกๆ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องในชีวิตของผู้คนจะต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผูกเข้ากับบริการของ 1 ใน 7 ผู้ผลิตยักษ์ใหญ่เหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
7. จนกระทั่งถึงปี 2019 ทุกๆ 1 เหรียญที่แต่ละองค์กรลงทุนไปในการสร้างนวัตกรรม จะต้องมีค่าใช้จ่ายอีก 7 เหรียญในการดำเนินการ
ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ของแต่ละองค์กรนั้น งบประมาณที่ตั้งต้นเอาไว้ในการทดลองไอเดียต่างๆ นั้น เมื่อถูกนำมาใช้จริงจะต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 7 เท่าเพื่อให้นวัตกรรมเหล่านั้นถูกนำมาใช้จริงได้ในการดำเนินธุรกิจ
8. จนกระทั่งถึงปี 2020 IoT จะทำให้ความต้องการ Storage จัดเก็บข้อมูลเติบโตขึ้นเพียงแค่ 3% เท่านั้น
ถึงแม้จะมีการทำนายกันว่า Internet of Things (IoT) จะสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาลจาก Endpoint ที่คาดว่าจะมีมากถึง 21,000 ล้านชุดภายในปี 2020 แต่จากการประมาณการถึงจำนวน Storage ทั้ง HDD และ SSD ที่จะมียอดขายรวมกันถึง 900 Exabyte ภายในปี 2020 นี้ จะมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนที่เป็นของ IoT Sensor เพียงแค่ 0.4% เท่านั้น ในขณะที่มีการจัดเก็บข้อมูลจาก Multimedia Sensor อีกเพียงแค่ 2% ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า IoT นั้นจะเติบโตได้เป็นอย่างมากและทำการส่งเฉพาะข้อมูลสำคัฯที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเท่านั้น ทำให้องค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถลงทุนกับ IoT ได้โดยไม่ต้องขยับขยายระบบจัดเก็บข้อมูลมากนัก
9. ภายในปี 2022 IoT จะช่วยให้ผู้ใช้งานและองค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา, การบริการ และการบริโภคลงได้ถึง 1 ล้านล้านเหรียญ
การลงทุน IoT แต่ละครั้งนั้นจะทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ยาวนานตั้งแต่ 10 ปีจนถึง 20 ปี และไม่มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการตามมามากนัก โดยถึงแม้ระบบ IoT ที่ใช้งานจะเป็นระบบง่ายๆ ที่ไม่มีความซับซ้อน แต่ก็จะช่วยให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริงการการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ออกเป็นรายงานสำหรับการตัดสินใจและปรับปรุงสิ่งต่างๆ ด้วยความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้งานสิ่งต่างๆ ที่มากขึ้นจากข้อมูลเหล่านี้ ในขณะที่ Digital Twin จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ Sensor ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของโลกแห่งความเป็นจริง และนำข้อมูลเหล่านั้นไปผสานกับแหล่งข้อมูลภายนอกอื่นๆ ออกมาเป็นข้อมูล Digital ที่สะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นมาอีกชุด
10. ภายในปี 2020 40% ของพนักงานภายในองค์กรจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพได้รด้วยการใช้ Fitness Tracker
องค์กรต่างๆ จะเริ่มขยายแผนก HR ให้มีตำแหน่ง Fitness Program Manager ที่สร้างสวัสดิการใหม่ให้กับพนักงานผ่าน Fitness Tracker เพื่อติดตามสุขภาพของพนักงานกันมากขึ้นด้วยการให้ผู้ผลิตทางด้าน Healthcare ทำการติดตามข้อมูลเหล่านั้นและคอยช่วยระมัดระวังความเสี่ยงทางสุขภาพของพนักงานแต่ละคนได้ทั้งแบบ Real-time และการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง ทั้งนี้ประเด็นเหล่านี้ต้องอยู่บนพื้นฐานว่าพนักงานยินยอมให้องค์กรติดตามข้อมูลเหล่านี้ของตนได้