Gartner ได้ทำการสำรวจแผนการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีจากหน่วยงานรัฐทั่วโลก เพื่อให้ CIO และ IT Leaders สามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนทางด้าน IT Roadmap ในอนาคตได้ง่ายขึ้น โดยในปี 2015 นี้คาดว่าการลงทุนทางด้าน IT ของหน่วยงานรัฐทั่วโลกจะหดตัวลง 1.8% จาก 439,000 ล้านเหรียญดอลาร์สหรัฐ เหลือ 431,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่จะเติบโตกลับมาเป็น 475,500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2019
โดยทาง Gartner ได้นำเสนอ 10 กลยุทธ์การลงทุนด้านเทคโนโลยีสำหรับหน่วยงานรัฐทั่วโลก ซึ่งทาง TechTalkThai ก็ขอมาสรุปต่อให้ผู้อ่านได้อ่านกันดังนี้
1. ที่ทำงานแบบ Digital
เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐทุกคนจะต้องทำงานด้วยระบบ Digital เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดก็ตาม โดย CIO และหัวหน้าฝ่าย IT จะต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำในการสร้างรูปแบบการทำงานที่เปิดรับต่อ Social และ Mobile โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ และทำการตัดสินใจต่างๆ โดยมีข้อมูลประกอบได้เสมอ
2. การเข้าถึงประชาชนได้จากหลายช่องทาง
การเข้าถึงประชาชนได้ทั้งแง่ของการเปิดช่องทางให้ประชาชนติดต่อเข้ามาได้จากหลากหลายช่องทาง และการสื่อสารกลับไปยังประชาชนแต่ละคนได้ในหลากหลายช่องทางเช่นกันถือเป็นโจทย์สำคัญ ทั้งนี้่ผู้วางนโยบายและ CIO จะต้องเริ่มทำการออกแบบบริการต่างๆ ของหน่วยงานใหม่ให้เหมาะสม โดยมีการผสานเครื่องมือทางการตลาดแบบเดิมๆ เข้ากับเครื่องมือทางการตลาดแบบใหม่ด้วย
3. เปิดเผยทุกข้อมูลให้นำไปใช้งานต่อได้
ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้ และ Web API สำหรับเรียกใช้ข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐกำลังเติบโตและมีความหลากหลายเพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งถึงแม้ในตอนนี้จะยังไม่ได้มีการนำไปใช้งานมากนัก แต่ Gartner ก็เชื่อว่าอาจต้องใช้เวลาเป็นสิบปีหรือมากกว่าในการที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ถึงขีดสูงสุด
อย่างไรก็ดี ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้หลายๆ หน่วยงานเริ่มประสบปัญหาทางด้านการบีบหรือลดค่าใช้จ่ายสำหรับโครกงการ Open Data ลง และกลายเป็นความท้าทายของหน่วยงานเหล่านั้นไป ด้วยสาเหตุว่าข้อมูลเหล่านั้นยังไม่สามารถสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ให้แก่รัฐบาล รวมถึงยังไม่มีวิธีชี้วัดคุณค่าเหล่านั้นออกมาเป็นตัวเลข แต่ Gartner ก็ทำนายว่าในปี 2018 จะมี 30% ของโครงการในหน่วยงานรัฐที่เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างในโครงการเป็น Open Data
4. ID อิเล็กทรอนิคสำหรับประชาชน
เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถทำการ Login และเข้าถึงทุกบริการของภาครัฐในแบบออนไลน์ได้ ทางภาครัฐก็จะต้องมีระบบฐานข้อมูลสำหรับการยืนยันตัวตนกลางสำหรับประชาชน ให้สามารถเข้าใช้งานบริการต่างๆ ได้ด้วย Username และ Password เดียวกันได้อย่างปลอดภัย โดยต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐกับภาคธุรกิจในการผลักดันบริการนี้ให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย, ใช้งานได้ง่าย และปลอดภัย รวมถึงยังต้องมีความเป็นส่วนตัวสูง ผ่านบริการที่ควบคุมโดยภาครัฐเอง หรือใช้บริการ ID as a Service ของภาคเอกชนก็ตาม
5. การทำ Analytics ที่ปลายทาง
ระบบวิเคราะห์จะถูกฝังลงไปในบริการต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถแนะนำข้อมูลต่างๆ หรือทำนายแนวโน้มหรือเหตุการณ์ต่างๆ ให้กับผู้ใช้งานได้โดยตรง เพื่อให้ประสบการณ์การใช้บริการต่างๆ ของภาครัฐเป็นไปได้อย่างดียิ่งขึ้น โดยระบบ Analytics นี้จะถูกฝังรวมไปกับกระบวนการทำงานหรือ Application เลย และคอยรวบรวมข้อมูลของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำมาวิเคราะห์และสร้างประโยชน์ให้กับผู้ใช้งาน
6. สามารถทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
ในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ทุกวันนี้ การประสานงานข้ามหน่วยงานกันถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงต้องปรับตัวให้สามารถเชื่อมต่อการทำงานเข้ากับหน่วยงานอื่นๆ เท่าที่จำเป็นได้ตามต้องการอย่างเป็นมาตรฐาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้โดยไม่ขึ้นกับ Application และแหล่งที่มาของข้อมูลด้วย
7. ระบบหน่วยงานรัฐแบบ Digital
ระบบกลางสำหรับบริการต่างๆ ที่ประชาชนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องไปค้นหาว่าต้องติดต่ออะไรที่หน่วยงานไหน ซึ่งตอนนี้เทคโนโลยีนี้กำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วยแนวคิด Smart City จากผู้ผลิตรายต่างๆ ที่จะควบรวมเอาทั้งเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะมาช่วยเสริมการบริการภาครัฐให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ควบคู่กับ Internet of Things ซึ่งต่างก็ยังต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ภายในระบบอยู่
8. Internet of Things
สำหรับหน่วยงานภาครัฐ Internet of Things จะเป็นหัวใจหลักในการวางกลยุทธ์ถัดๆ ไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้กับประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม, การตรวจสอบโครงสร้างของสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ, การโต้ตอบเหตุฉุกเฉิน, การติดตาม Supply Chain, การจัดการสินทรัพย์, การจัดการการบิน หรือความปลอดภัยในการสัญจรก็ตาม ทั้งนี้รัฐบาลต้องเริ่มประเมินแผนการในอนาคต, ประเมินจำนวนของ Sensor ต่างๆ ที่ต้องใช้ และปรับปรุงเครือข่ายทั่วประเทศให้รองรับกับความต้องการได้
9. Web-Scale IT
ระบบ IT ขนาดใหญ่ที่มีความสามารถเทียบเท่าบริการ Cloud จะช่วยให้ภาครัฐสามารถปรับปรุงระบบ IT ให้มีความคุ้มค่าขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นอิสระในการเพิ่มขยายระบบด้วย Open Source ร่วมกับ Hardware ที่ราคาคุ้มค่าที่สุด และลดบทบาทของผู้ผลิต Hardware และผู้ขายสินค้าและบริการ IT ลงไปจากวงจรได้
10. Hybrid Cloud (and IT)
ผู้ดูแลระบบของภาครัฐจะต้องมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ Hybrid Cloud ได้ และมุมมองที่มีต่อทีมงานผู้ดูแลระบบเหล่านี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เป็น Service Provider ที่จัดการทุกอย่าง กลายเป็น Service Broker หรือผู้จัดการของแต่ละบริการผ่านระบบ Cloud ไปแทน
สำหรับการนำมาปรับใช้ในประเทศไทย สิบข้อนี้ก็อาจจะยังไม่ตรงนัก แต่ก็พอดูเป็นแนวทางเพื่อศึกษากันได้บ้างครับ