กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 18 ธันวาคม 2558 – เดลล์ ชี้เทรนด์ธุรกิจ และเทคโนโลยีเคลื่อนสู่ยุค “การพลิกโฉมธุรกิจไปสู่ดิจิตอล” ( Digital Transformation ) ระบุเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงคือ คลาวด์ ข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ ( Big Data/Analytic ) โซเชียล เน็ตเวิร์ค โมบิลิตี้ และ IoT เตรียมจัดทัพรุกให้คำปรึกษา พร้อมช่วยองค์กรธุรกิจเปลี่ยนโฉมทรานส์ฟอร์มตัวเองด้วยเพื่อรับธุรกิจรูปแบบใหม่ ขณะเดียวกัน เปิดผลการวิจัยภายใต้ “ดัชนีชี้วัดความพร้อมสำหรับอนาคต ( Future Ready Index )” เผยบริษัทที่ลงทุนใน คลาวด์ โมบิลิตี้ ซีเคียวริตี้ และบิ๊กดาต้า โตเร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้มากกว่า 50%
นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น ( ประเทศไทย ) จำกัด และผู้จัดการทั่วไป ภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า จากการวิจัยของฟอเรสเตอร์ คอนซัลติ้ง เทคโนโลยี และแรงผลักดันต่าง ๆ ในด้านเศรษฐกิจช่วยทำให้ลูกค้าสามารถเพิ่มการควบคุมการมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ และองค์กรได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องการที่จะเข้าใจ และมีความสามารถในการให้การดูแลลูกค้าในระบบเศรษฐกิจดิจิตอล ต่างเผชิญการการเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจด้วยดิจิตอล ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงการลงทุนในเทคโนโลยี และรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ที่จะมุ่งให้ความสนใจไปที่ประสบการณ์ลูกค้า ( customer experience ) เป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ไอดีซีได้คาดการณ์ว่าจำนวนองค์กรธุรกิจที่มีแผนที่จะริเริ่มดำเนินการในด้านดิจิตอล ทรานฟอร์เมชันจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในปี 2663 จากปัจจุบัน 22% เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 50%.
เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ สามารถตอบรับกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลง Digital Transformation ได้อย่างสมบูรณ์ เดลล์ ประเทศไทยแบ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน โดยในส่วนแรกคือการเดินสายให้ความรู้ กระตุ้นให้องค์กรธุรกิจตระหนัก และตื่นตัวกับเทรนด์ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปโฉมการดำเนินธุรกิจ เพื่อองค์กรธุรกิจได้เตรียมความพร้อม ในการหาสิ่งที่เป็นยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจของตัวเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง สำหรับการดำเนินงานในส่วนที่สอง เดลล์ ประเทศไทยพร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องการทำ transformation โดยนำโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ( IT Infrastructure ) เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์
“บางองค์กรอาจเริ่มต้นไม่ถูก หรือไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นอย่างไร เรามีทีมทำงานด้านดิจิตอล ทรานส์ฟอร์เมชันที่สามารถให้คำแนะนำ และทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการได้อย่างเหมาะสม และดีที่สุด โดยในขั้นเริ่มต้น เราเริ่มให้คำปรึกษา และทำงานร่วมกับลูกค้าแล้วอย่างน้อย 5 รายในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ เฮลธ์แคร์ ค้าปลีก ( Retail ) ตลอดจนธุรกิจการประมวลผลข้อมูล เป็นต้น
จากการทำนายของทั้งไอดีซี การ์ทเนอร์ และฟอเรสเตอร์ จะมีเทรนด์เชิงกลยุทธ์ 3 รูปแบบ และเทคโนโลยี 3 กลุ่ม ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้กับดิจิตอล ทรานส์ฟอร์เมชันในทศวรรษนี้ ซึ่งเทรนด์ และเทคโนโลยีที่กล่าวถึงคือ การวิเคราะห์บิ๊ก ดาต้า ( big data analytics ) อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง ( IoT ) และปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence ( AI )
นายอภิชาติ อัศวาดิศยางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจองค์กร เดลล์ อินโดจีน กล่าวว่า ธุรกิจดิจิตอล ( Digital Business Revolution ) คือคลื่นลูกถัดมาของการพัฒนาทางด้านไอที ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความซับซ้อน โดย 4 เทคโนโลยีหลักที่จะเข้ามามีบทบาท ได้แก่ คลาวด์ โมบิลิตี้ การวิเคราะห์ ( Big Data/Analytic ) และการรักษาความปลอดภัย ( security )
เพื่อช่วยให้องค์กรตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทั้งในรูปแบบของการทำธุรกิจ และของเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทในการสร้างประสิทธิภาพ และความได้เปรียบให้กับองค์กร เดลล์ได้ทำวิจัย รวมถึงร่วมมือกับองค์กรวิจัยระดับโลกเพื่อศึกษา “ดัชนีชี้วัดความพร้อมขององค์กรธุรกิจสำหรับอนาคต” ซึ่งรวมถึง “ดัชนีการใช้เทคโนโลยีทั่วโลก Global Technology Adoption Index ( GTAI ) ประจำปี 2015 ซึ่งเดลล์จัดทำเป็นปีที่สองอีกด้วย
ทั้งนี้ GTAI ได้ทำการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจ และด้านไอที ขององค์กรขนาดกลางทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจถึงการตระหนักรู้ และการวางแผน รวมถึงการนำ 4 เทคโนโลยีหลักมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ได้แก่ เทคโนโลยีคลาวด์ โมบิลิตี้ ซีเคียวริตี้ และบิ๊กดาต้า เป็นสำคัญ ซึ่งผลของการสำรวจชี้ให้เห็นว่าองค์กรที่ใช้เทคโนโลยีทั้ง 4 อย่างจริงจัง กำลังมีอัตราเติบโตของรายได้สูงกว่าองค์กรที่ไม่ได้ลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ถึง 53 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ การสำรวจของ GTAI 2015 พบความเกี่ยวเนื่องระหว่างเทคโนโลยี และประสิทธิภาพการทำงาน รวมไปถึงเป้าหมายด้านการเติบโต โดยข้อมูลระบุชัดเจนว่าการเพิ่มของประสิทธิภาพ และสมรรถนะในการทำงานที่ได้จากโมบิลิตี้คือสิ่งที่เอื้อประโยชน์มากที่สุดให้กับองค์กร ( 39 เปอร์เซ็นต์ ) ขณะที่ประโยชน์สูงสุดที่ได้จากคลาวด์ คือ การช่วยประหยัดต้นทุน ( 42 เปอร์เซ็นต์ ) การช่วยให้การดำเนินงานต่าง ๆ สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น ( 40 เปอร์เซ็นต์ ) และการทำให้การกระจายทรัพยากรด้านไอทีทำได้ดีขึ้น ( 38 เปอร์เซ็นต์ )
ในขณะที่ผลประโยชน์หลัก ๆ ที่มาจากบิ๊ก ดาต้าที่เกี่ยวเนื่องกับความได้เปรียบทางการแข่งขัน จะครอบคลุมถึงความสามารถในการวางเป้าหมายเพื่อการดำเนินการทางการตลาดที่ดีขึ้น ( 41 เปอร์เซ็นต์ ) การใช้ประโยชน์สูงสุดจากการใชจ่ายด้านโฆษณา ( 37 เปอร์เซ็นต์ ) การใช้ประโยชน์สูงสุดจากการตลาดผ่านโซเชียล มีเดีย ( 37% เปอร์เซ็นต์ )และในทางเดียวกัน สำหรับการรักษาความปลอดภัย หรือซีเคียวริตี้ ความสามารถในการตอบสนองต่อเงื่อนไขทางการตลาด ถือเป็นผลประโยชน์หลักเลยทีเดียว ( 77 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่มีโปรแกรมการรักษาความปลอดภัยด้านไอที และ 78 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่มีการใช้งานโซลูชันด้านซีเคียวริตี้ )
นายธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการประจำประเทศไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ ในยุคของดิจิตอล ทรานส์ฟอเมชัน อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง หรือ IoT ถือเป็นหนึ่งในเทรนด์ และเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการนำ IoT เข้ามาใช้ในการทำงานร่วมกับดีไวซ์ต่าง ๆ เพื่อให้รูปแบบการทำงาน หรือการใช้เทคโนโลยีโมบิลิตี้ขององค์กร ( Enterprise Mobility ) มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากบทความของไอดีซี ในหัวข้อ “IoT and Enterprise Mobility A Bright Future” อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งส่งผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อรูปแบบที่องค์กรธุรกิจจะใช้ประโยชน์จากการอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมเข้าหากันในการเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจ โดย IoT จะมีบทบาทในการเข้ามาทำให้การทำงานทันสมัยมากยิ่งขึ้นด้วยการผสานอุปกรณ์โมบาย คอมพิวเตอร์สำหรับสวมใส่ ตลอดจนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพของคนทำงานในการที่จะได้รับข้อมูล และทำงานประสานกันได้มากขึ้น องค์กรธุรกิจจะพึ่งพาอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อ รวมถึงระบบการวิเคราะห์ ( Big Data/Analytic ) ในการที่จะเพิ่มขีดความสามารถสูงสุดให้กับกระบวนการในการทำงาน ไปจนถึงการตัดสินใจที่เกี่ยวเนื่องกับการตลาด และกลยุทธ์การบริหารจัดการมากขึ้น
“และเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจนที่จะทำให้การทำงานระหว่าง IoT และโมบิลิตี้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง คือบิ๊ก ดาต้า ในการทำงานของ IoT สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ โมบาย ดีไวซ์ รวมทั้งโมบาย แอพพลิเคชัน จะผลิตข้อมูลเป็นจำนวนมหาศาลออกมาในแต่ละวัน เพื่อที่จะสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลเหล่านี้ องค์กรจำเป็นต้องมีดาต้า สตอเรจขนาดใหญ่ ที่มีความสามารถในการประมวล และวิเคราะห์ เพื่อที่จะเปลี่ยนข้อมูลดิบของโมบาย IoT ให้เป็นข้อมูลในทางปฏิบัติเชิงลึกสำหรับองค์กร ซึ่งการทำงานร่วมกันของ IoT โมบิลิตี้ และบิ๊ก ดาต้านี้ จะช่วยให้องค์กรได้รับผลประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์เพื่อประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทำงาน รวมทั้งสร้างแหล่งผลิตรายได้ใหม่ให้กับองค์กร” นายธเนศ กล่าว
เกี่ยวกับเดลล์
เดลล์ อิงค์ รับฟังความคิดเห็นของลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยีและการบริการที่ทำให้ลูกค้ามีศักยภาพในการทำงานที่มากขึ้น หาข้อมูลเพิ่มเติมและเยี่ยมชมได้ที่ www.dell.com.