วันนี้ Red Hat ร่วมกับ IDC จัดวงเสวนาสำหรับภาคธุรกิจการเงินในไทยและ APAC ตอนช่วงเช้า และตามมาด้วยวงนักข่าวในช่วงบ่ายเพื่อแบ่งปันเนื้อหาและสถิติต่างๆ เกี่ยวกับแนวโน้มการทำ Digital Transformation (DX) ในวงการการเงินในไทยและ APAC ทั้งหมด ทางทีมงาน TechTalkThai จึงขอสรุปเนื้อหาให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ
วงการการเงินต้องปรับตัว เพื่อให้อยู่รอดจากการแข่งขันกับเหล่า FinTech ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
การมาของ FinTech ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลกนี้ ทำให้เหล่าธุรกิจธนาคาร การเงิน และประกันทั่วโลกต่างต้องขยับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้อยู่รอดจากการแข่งขันเหล่านี้ที่ธุรกิจเล็กๆ แต่มีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อาจเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดและฐานลูกค้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไปได้อย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่มาใหม่อย่าง Cloud, Mobile, Blockchain และอื่นๆ ก็ตาม
สถิติจาก PwC ชี้ให้เห็นว่าการมาของ FinTech นี้ส่งผลกระทบต่อตลาด Consumer Banking สูงสุด ตามมาด้วยตลาด Fund Transfer & Payments, Investment & Wealth Management และ SME Banking
สิ่งที่เหล่าธุรกิจการเงินทั่วโลกทำเพื่อปรับตัวนั้นก็คือการเปิดรับเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์, บริการ และประสบการณ์แบบใหม่ เปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่เคยเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจกลายมาเป็นโอกาสของธุรกิจแทน และเริ่มจับมือกับเหล่า FinTech กลายเป็นพันธมิตรเพื่อเติบโตไปด้วยกัน ควบคู่ไปกับการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ และจับมือกับผู้ให้บริการในวงการอื่นๆ เพื่อนำเสนอโซลูชันใหม่ๆ สู่ลูกค้า
จากมุมมองของ IDC นั้น ภาคธุรกิจการเงินในไทยเองยังถือว่าเข้มแข็งอยู่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั่วโลก และธุรกิจเหล่านี้ก็เริ่มปรับตัวด้วยหลักการ Doing More with Less เพื่อให้ขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันถึงแม้ธุรกิจการเงินในไทยเองจะเริ่มทดลองใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ ก่อนประเทศอื่นๆ เช่น สมัยที่บริการ Cloud มาใหม่ๆ ธุรกิจการเงินในไทยก็เริ่มใช้งานกันอย่างรวดเร็ว แต่ประเทศอื่นๆ ที่เริ่มใช้ทีหลังนั้นก็สามารถเติบโตแซงหน้าธุรกิจในไทยไปได้ เป็นสัญญาณว่าธุรกิจในไทยควรจะต้องขยับตัวอย่างรวดเร็วต่อเนื่องยิ่งกว่านี้
ส่วนการนำ Blockchain มาใช้นั้น ถึงแม้ในไทยจะเริ่มมีธนาคารบางแห่งเปิดตัวบริการแล้ว และหลายๆ ธนาคารเองก็กำลังทดสอบเทคโนโลยีอยู่ แต่ทาง IDC ก็มองว่ากว่าภาครัฐและกฎหมายจะรองรับการนำ Blockchain มาใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นก็อาจกินเวลาถึง 5 ปี ถ้าหากไทยต้องการแข่งขันให้ได้รวดเร็วกว่านี้ก็ต้องเร่งกระบวนการเหล่านี้ให้เร็วขึ้นด้วย
Open API: เมื่อธนาคารต้องเปิดให้เชื่อมต่อกับภาคธุรกิจต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวกว่าแต่ก่อน
ถึงแม้เหล่า FinTech ต่างๆ นั้นจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกวันนี้ได้ดี แต่ธนาคารเองก็ยังมีบทบาทที่สำคัญในหลายๆ แง่มุม สิ่งที่กลายเป็นทางเลือกของหลายๆ ธุรกิจการเงินในทุกวันนี้ที่จะเร่งให้การทำ Digital Transformation เป็นไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดนี้ ก็คือการเปิด Open API ให้ธุรกิจต่างๆ มาทำการเชื่อมต่อข้อมูลไปใช้งาน หรือเข้าถึงบริการต่างๆ ของธนาคารได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนนั่นเอง
การเปิด Open API นี้จะทำให้ธนาคารสามารถจับมือเป็นพันธมิตรกับธุรกิจอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดข้อมูลที่ธนาคารมีอยู่ให้ธุรกิจอื่นๆ นำไปต่อยอดได้ หรือการนำบริการของธนาคารเข้าไปผูกกับระบบของธุรกิจอื่นๆ ให้มีความเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น และเปิดให้ธุรกิจเหล่านั้นสามารถให้บริการการเงินแบบเบ็ดเสร็จจบได้ในตัวเลยด้วยการใช้ระบบ Open API ของธนาคารเป็น Backend ทางด้านการเงิน บริการของธนาคารเองก็จะถูกนำไปแฝงอยู่ใน Mobile Application, SaaS และอื่นๆ ให้ผู้ใช้งานได้ใช้งานโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังใช้บริการเหล่านี้อยู่
IDC ได้เผยสถิติว่าเหล่าธุรกิจการเงินในภูมิภาค APAC นี้ มี 17% ที่ทำ Open API ไปแล้ว, มีแผนจะเริ่มทำ Open API ภายในสิ้นปีนี้ 17%, มีแผนทำ Open API ในปีหน้า 44% และไม่มีแผนทำ Open API เลย 18% ดังนั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่า Open API จากธนาคารเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ความยากของ Digital Transformation ไม่ได้มีแค่ข้อจำกัดทางด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นวัฒนธรรมขององค์กรด้วย
การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ตอบรับต่อการทำ Digital Transformation ได้กลายเป็นประเด็นใหญ่ทั่วโลกในทุกวันนี้ที่ทุกๆ องค์กรต้องเผชิญ โดยการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของพนักงานภายในองค์กรให้ใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นก็ยังคงเป็นโจทย์ยากมากยิ่งขึ้น ส่วนแผนก IT เองนั้นก็ต้องเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับ IT Infrastructure เพื่อเปิดรับแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Next-generation Architecture, Cloud-native Platform และ DevOps ด้วย
สถิติของ Gartner ได้ชี้ให้เราเห็นว่าองค์กรกว่า 91% นั้นรู้ตัวดีว่าต้องทำ Digital Transformation แต่ 59% นั้นก็มองว่า IT Organization ยังไม่พร้อมที่จะก้าวไปสู่การทำ Digital Transformation ซึ่งตัวเลขนี้ก็สอดคล้องกับการสำรวจจาก IDC ที่พบว่าเหล่าธุรกิจการเงินนั้นลงทุนเพื่อปรับปรุงระบบ IT แบบเดิมๆ ถึง 75% ในขณะที่ลงทุน 25% กับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เท่านั้น พร้อมแนะนำว่าภาคการเงินควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้น
Red Hat แนะนำว่าการนำวัฒนธรรม Open Source ไปปรับใช้ในองค์กรนั้นจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรทำ Digital Transformation ได้สำเร็จมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกันอย่างทั่วถึง, การทำงานอย่างโปร่งใส, การแบ่งปันปัญหาเพื่อช่วยกันแก้ไข และการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร
Open Source ถูกใช้งานในองค์กรอยู่แล้ว 90 – 95%
Red Hat ได้ออกมาเผยถึงตัวเลขสำรวจว่าเหล่า IT Organization เองนั้นก็เริ่มมีการใช้งาน Open Source อยู่แล้วถึง 95% ในขณะที่ลูกค้าของ Red Hat ใน Fortune 500 เองก็ใช้งาน Red Hat กันมากถึง 90% ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคธุรกิจเริ่มมีการใช้งาน Open Source มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
Deutche Bank เป็นลูกค้ารายหนึ่งของ Red Hat ที่ใช้ Red Hat OpenShift เป็นโครงสร้างสำหรับการพัฒนา Cloud-native Application บน Container เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาบริการใหม่ๆ และก้าวสู่การเป็น Digital Business เต็มตัว และมีแผนที่จะย้ายระบบ IT ขึ้นไปยัง OpenShift มากถึง 85%
Macquarie Bank ธนาคารจากออสเตรเลียก็เป็นลูกค้าของ Red Hat อีกรายหนึ่งที่ใช้ OpenShift เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถพัฒนา Digital Product ใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการลดระยะเวลาในการทำ Development Life Cycle ให้สั้นลงได้ด้วยเทคโนโลยี Container และ Automation
ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ของ Red Hat ในไทยเป็นภาคการเงิน, โทรคมนาคม และภาครัฐ