หนี่งในก้าวที่สำคัญของการทำ Digital Transformation ในธุรกิจต่างๆ นั้นก็คือการปรับธุรกิจให้กลายเป็น Data-Driven แม้แต่หนึ่งในธุรกิจรายใหญ่ทางด้านเครื่องสำอาง, สุขภาพ และสินค้าสำหรับสุภาพสตรีอย่างบริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) หรือ OCC เองนั้น ก็กำลังปรับธุรกิจของตนครั้งใหญ่ให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดธุรกิจให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำ SAP S/4HANA มาใช้งานแทน SAP เวอร์ชันเก่าที่มีอยู่เดิม โดยมีทีมงานของ ISS Consulting รับบทบาทในฐานะ SAP Implementer ในครั้งนี้
รู้จักกับ OCC ผู้จัดจำหน่ายและนำเข้าสินค้าแบรนด์หลากหลายที่คุณอาจเป็นลูกค้าอยู่แล้วไม่รู้ตัว
หลายๆ คนอาจจะรู้จักกับ OCC อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังนึกไม่ออกว่า OCC ทำธุรกิจอะไรนั้น หากเคยได้ยินชื่อแบรนด์ต่างๆ อย่างเช่น COVERMARK, PAUL & JOE, KMA, KMA PROFESSIONAL, SUNGRACE, SHISEIDO PROFESSIONAL, BSC HAIR CARE, GUY LAROCHE, GUNZE ออกล่ะก็ OCC คือธุรกิจที่ทำแบรนด์เหล่านี้ในตลาดเมืองไทยนั่นเอง
ธุรกิจของ OCC นั้นเริ่มต้นก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2516 โดยใช้ชื่อว่าบริษัท โอเลียรี่ คัฟเวอร์มาร์ค เซ็นเตอร์ จำกัด และเริ่มทำการจัดจำหน่ายเครื่องสำอางแบรนด์ “โอเลียรี่คัฟเวอร์มาร์ค” (O’Leary Covermark) มาก่อน ด้วยจุดเด่นเรื่องของการมีศูนย์บริการให้คำปรึกษาเรื่องความงามและให้บริการลูกค้าอย่างแพร่หลายทั่วไทย จนกลายเป็นที่รู้จักและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2530 จนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในปี 2537 และเริ่มทำแบรนด์สินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย
นอกจากการผลิตและนำเข้าสินค้าแบรนด์ต่างๆ แล้ว การจัดจำหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ ทั่วประเทศไทยเองก็เป็นอีกส่วนสำคัญของธุรกิจ และล่าสุดนี้ OCC ก็ยังเริ่มมีการขยายตลาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในแถบ CLMV ด้วย จึงเริ่มมีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศเพิ่มเข้ามาอีกช่องทางหนึ่ง รวมถึงการที่ประเทศไทยได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนจีน ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเปิดให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้สัมผัสตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั่วไทยจึงกลายเป็นสินค้าที่ครองใจนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นจำนวนมาก
การเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้เอง ทำให้ทุนจดทะเบียนของ OCC เพิ่มขึ้นจนมีมูลค่าสูงถึง 80 ล้านบาทแล้ว และยอดขายของธุรกิจในปี 2561 ที่ผ่านมานี้ก็สูงกว่า 1,200 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยปัจจุบันพนักงานของ OCC ก็มีจำนวนมากถึง 1,100 คน และมีหน้าร้านที่จำหน่ายสินค้าของ OCC มากถึง 700 แห่ง เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ไม่น้อยเลย
ผู้ที่สนใจอยากรู้จักธุรกิจของ OCC เพิ่มเติม สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลได้ที่ https://occ.co.th โดยทีมงาน OCC ยังฝากบอกมาด้วยว่าหากบริษัทไหนต้องการอบรมพนักงานเรื่องการแต่งหน้าและบุคลิกภาพ สามารถติดต่อทีมงาน OCC ให้เข้าไปช่วยอบรมกันได้นะครับ เพราะ OCC มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้มายาวนานกว่า 40 ปี
OCC เตรียมปรับหลังบ้านธุรกิจครั้งใหญ่ ก้าวสู่โลก Digital ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับคุณธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) ถึงประเด็นเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยเฉพาะ โดยคุณธีรดาเล่าว่า OCC นั้นถือเป็นธุรกิจด้านเครื่องสำอางและความงามรายแรกๆ ของไทยที่มีการนำระบบ ERP มาใช้งานอย่างเต็มตัวตั้งแต่ปี 2547 ทางทีมงาน OCC จึงเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจและการแข่งขันได้เป็นอย่างดี และปัจจุบันนี้ทาง OCC เองก็มองว่าการปรับตัวสู่ยุค Digital ให้ได้นั้นถือเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้นๆ ของธุรกิจในยามนี้
คุณธีรดา อำพันวงษ์
กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน)
“ในมุมมองของ OCC นั้น การปรับธุรกิจสู่ Digital จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ การปรับปรุงกระบวนการการทำงานภายในองค์กรให้มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย, เหมาะสม และยืดหยุ่นมากขึ้นมาใช้งาน และการตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปเลือกซื้อสินค้าหรือรับบริการต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการที่ OCC จะต้องพร้อมปรับวิธีการทำงาน, การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการสื่อสารกับลูกค้าใหม่ไปด้วย” คุณธีรดา กล่าว
สำหรับช่องทางการขายสินค้าของ OCC ในอนาคตนั้นชัดเจนว่าจะเป็นแบบ Online-to-Offline หรือ O2O อย่างแน่นอน อีกทั้งทาง OCC เองก็มีแผนพิจารณาการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับวางจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียวในอนาคตด้วย ในขณะที่การขายผ่านหน้าร้านหรือการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายรายต่างๆ ก็จะยังคงเป็นช่องทางที่สำคัญซึ่ง OCC จะนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปเสริมศักยภาพในการทำธุรกิจให้ดีขึ้นต่อไป
ก่อนจะก้าวสู่ Digital สิ่งสำคัญคือ Data จะขายออนไลน์หรือออฟไลน์ ข้อมูลต้องเป็นตัวนำ และ Data Scientist จะกลายเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของ OCC นับถัดจากนี้
กลยุทธ์หนึ่งซึ่งจะต้องกลายเป็นสิ่งที่ทุกแผนกของ OCC ต้องให้ความสำคัญในอนาคต คือการทำงานกันแบบ Data-Driven หรือการใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลางแบบครบวงจรตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการขายสินค้าหน้าร้าน และวนย้อนกลับมาเป็นข้อมูลเพื่อปรับปรุงการผลิตต่อไปในอนาคตด้วย เนื่องจากในธุรกิจสินค้าทางด้านเครื่องสำอาง, ความงาม และแฟชั่นนี้ การเข้าใจความต้องการของลูกค้าผ่านข้อมูลให้ได้ถือเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ว่าหน้าร้านจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม
แนวทางของ OCC ในครั้งนี้ก็คือการนำข้อมูลด้านการขายและการตลาดในสาขาทั่วประเทศมาทำการวิเคราะห์สำหรับการทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคที่แตกต่างกัน และนำมาใช้วางแผนในการทำงานส่วนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังเช่น
- การจัดการ Inventory สำหรับแต่ละสาขาให้เหมาะสม ตอบโจทย์ความนิยมในผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่, แนวโน้มว่าสินค้าใดจะขายดีในพื้นที่ใกล้เคียงกัน และปริมาณสินค้าที่ควรจัดเก็บเอาไว้ใน Stock แต่ละแห่ง เพื่อไม่ให้มีสินค้าคงค้างมากเกินไปสำหรับแต่ละสาขา และยังคงมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าได้จากการทำนายแนวโน้มยอดขาย
- การออกแบบหน้าร้านและการจัดวางสินค้าบน Shelf ในแต่ละสาขา จะอ้างอิงกับการนำข้อมูลสถิติและการวิเคราะห์ต่างๆ ผสานกับวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ในสาขานั้นๆ เพื่อให้สินค้าที่มีศักยภาพในแต่ละพื้นที่สามารถสร้างยอดขายได้สูงสุด
- เรียนรู้ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้าจากแนวโน้มและพฤติกรรมการซื้อสินค้าในช่องทางต่างๆ รวมถึงรวบรวมข้อมูลจาก Social Media เพื่อมาทำการวิเคราะห์ความต้องการหรือเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น และนำข้อมูลหรือองค์ความรู้เหล่านี้ไปใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือนำเข้าสินค้าใหม่ๆ มาตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้อย่างต่อเนื่อง
- การนำแนวโน้มจากข้อมูลที่ได้รับในช่องทางต่างๆ มาจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับช่องทางการขายในช่องทางอื่นๆ ทำให้การตลาดมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น และตอบสนองต่อตลาดได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นไปพร้อมๆ กัน
จะเห็นได้ว่าการแนวทางเหล่านี้จะกลายเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ OCC ทีเดียว และแน่นอนว่า OCC เองก็ต้องสร้างทีม Data Science ขึ้นมาภายในบริษัท เพื่อสร้างสรรค์มุมมองใหม่ๆ ที่จะได้จากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เกิดขึ้นจากยอดขายในหน้าร้านทั่วประเทศในแต่ละวัน รวมกับข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ด้วย
มีข้อมูล มีเทคโนโลยียังไม่พอ “คน” ต้องปรับวัฒนธรรมการทำงานตาม
อย่างไรก็ดี การลงทุนอัปเกรดเทคโนโลยี และนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในองค์กร ไปจนถึงการสร้างทีม Data Science ขึ้นมานั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อการทำให้ OCC ก้าวไปจนถึงปลายทางที่ต้องการได้ แต่พนักงานของ OCC ในปัจจุบันเองก็ต้องปรับตัวรับกับวัฒนธรรมการทำงานแบบ Data-Driven ให้สามารถเข้าใจข้อมูลต่างๆ และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการตัดสินใจได้ในทุกๆ แผนกด้วย
โจทย์นี้อาจจะเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับหลายๆ ธุรกิจในสายโรงงานและการผลิตหรือธุรกิจด้านการจัดจำหน่าย แต่สำหรับ OCC โจทย์นี้ถือว่าเป็นโจทย์ที่เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้ในโครงการระบบ ERP เมื่อปี 2547 นั้น แผนกต่างๆ ของ OCC เองก็ได้ผ่านการเรียนรู้การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เสริมขีดความสามารถของธุรกิจมาแล้ว และเจ้าหน้าที่ในระดับบริหารหรือหัวหน้าทีมนั้นก็มีความคุ้นเคยกับการต้องปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยี และมีทัศนคติที่ดีในการใช้เทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จึงถือเป็นอีกสิ่งที่ทีมงาน OCC พร้อมจะเปิดรับอย่างเต็มที่
อัพเกรดครั้งใหญ่! สู่ SAP S/4HANA เตรียมนำข้อมูลไปใช้ในทุกมิติของธุรกิจ
ระบบ ERP เดิมที่ OCC ใช้งานอยู่นั้นก็ไม่ใช่ระบบที่ไหน แต่คือ SAP เวอร์ชั่น 4.6C ที่มีการใช้งานมาตั้งแต่ปี 2004 โดยเดิมทีนั้น OCC ไม่ได้ใช้ SAP ครบทุกโมดูล แต่ใช้งาน SAP ผสมกับระบบอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ระบบ Business Application ภายในธุรกิจมีความหลากหลาย
ถึงแม้ระบบเหล่านี้จะตอบโจทย์ในช่วงแรกเริ่ม แต่เมื่อธุรกิจเติบโตและซับซ้อนยิ่งขึ้น การถ่ายโอนข้อมูลข้ามระบบในแต่ละแผนกก็กลายเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรค่อนข้างมาก รวมถึงยังมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้จากการป้อนข้อมูลโดยพนักงานเอง อีกทั้งระบบที่กระจัดกระจายเหล่านี้ก็ยากต่อการก้าวไปสู่การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ทำให้ OCC มองหาทางเลือกใหม่ในการใช้งาน ERP ที่เป็นศูนย์รวมของข้อมูลทางธุรกิจทั้งหมด จบได้ในระบบเดียว

หลังจากการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ สุดท้ายแล้ว OCC ก็ตัดสินใจที่จะอัปเกรดมาใช้งาน SAP S/4HANA โดยให้ SAP S/4HANA นั้นจัดการควบคุมการทำงานของทุกๆ แผนกทั้งหมด ทำให้ข้อมูลที่มีนั้นกลายเป็นข้อมูลกลางเพียงชุดเดียวที่ทุกแผนกเห็นตรงกันแบบ Real-time ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจัดซื้อ จัดหาผลิตภัณฑ์, บัญชี, การเงิน, การตลาด ไปจนถึงทีม Data Science พร้อมนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ต่อยอดได้ตามแผน Data-Driven และยังรองรับการเชื่อมต่อกับระบบหน้าร้านออนไลน์และ Marketplace ที่หลากหลายได้ผ่านทาง API
นอกจากนี้ การพัฒนาระบบ Mobile Application เพื่อให้ผู้บริหารและพนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกิจและทำการวิเคราะห์ได้อย่างง่ายดายด้วยตนเองตลอดเวลา และสามารถอนุมัติเอกสารต่างๆ ได้นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ SAP S/4HANA สามารถตอบโจทย์ให้ได้ โดยปลายทางแล้ว OCC ต้องการที่จะพัฒนา Platform เพื่อให้เหล่าคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายรายต่างๆ สามารถทำการสั่งซื้อสินค้าและจัดการกระบวนการด้านบัญชีและการเงินได้ในระบบเดียวทั้งหมด ช่วยเปลี่ยนการทำงานของคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายให้เป็น Digital ไปพร้อมๆ กัน
ใช้ SAP บน Cloud ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสาขาจำนวนมาก
ด้วยวิสัยทัศน์ด้าน Data-Driven ที่ชัดเจนนี้ OCC จึงไม่ลังเลที่จะเลือกใช้งาน SAP บนบริการ Cloud เพื่อให้ผู้จัดการในสาขาต่างๆ มากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย อีกทั้งระบบ Point-of-Sale หรือ POS ทั้งหมดก็จะสามารถเชื่อมต่อกับ Cloud ได้ทันที ในขณะที่การรวบรวมข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรเองก็จะทำได้ง่ายขึ้น ไม่มีข้อจำกัดด้าน Bandwidth รวมถึงยังตอบโจทย์ต่อ Data Scientist ซึ่งมักเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ทำงาน และต้องการที่จะเข้าถึงข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลได้จากทุกที่ทุกเวลา
ในขณะเดียวกัน การเช่าใช้บริการ Cloud นี้ก็จะช่วยให้ OCC ไม่ต้องมีภาระด้านการดูแลระบบ Data Center ด้วยตัวเอง ทำให้แผนก IT ที่มีจำนวนเพียง 5-6 คนไม่ต้องแบกรับภาระด้านการดูแลห้อง Data Center หรือ Hardware ต่างๆ ด้วยตัวเองมากนัก และสามารถทำงานในส่วนอื่นๆ หรือแก้ไขปัญหาในเชิงลึกได้ดียิ่งขึ้น ช่วยดูแลให้พนักงานทุกคนสามารถใช้งานระบบ IT เพื่อตอบสนองต่อโจทย์ความต้องการของธุรกิจได้ดีขึ้นไปด้วย
เชื่อมั่นใน ISS Consulting รู้จัก SAP ดีกว่าใคร
ก่อนที่ OCC จะตัดสินใจร่วมงานกับ ISS Consulting นั้น ก็ต้องผ่านกระบวนการการคัดเลือก SAP Implementer กันก่อน ซึ่ง ISS Consulting เองก็มีความโดดเด่นมากในการนำเสนอโครงการ ตั้งแต่การตีโจทย์ทางด้านธุรกิจของ OCC เป็นหลักและเลือกนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดจาก SAP มาให้โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใดแบบเฉพาะเจาะจง, การมีประสบการณ์ทั้งในเชิงเทคนิคด้านการย้ายระบบจาก SAP รุ่นเก่าก่อนหน้ามาสู่ SAP S/4HANA และประสบการณ์ในเชิงธุรกิจด้านการพัฒนาระบบ ERP ขนาดใหญ่ให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันมาก่อน ทำให้ ISS Consulting มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับ OCC ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานอย่างมากมาย
ที่สำคัญอีกประเด็นก็คือ บริการของ ISS Consulting นั้นครอบคลุมไปจนถึงช่วงหลังการขาย ที่จะมีการเข้ามาฝึกอบรมพนักงานและจัดสัมมนาอัปเดตความรู้ให้กับแต่ละแผนกอย่างต่อเนื่อง และมีบริการทางเทคนิคหลังการขายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในการใช้งาน ทำให้ OCC มีความมั่นใจที่จะเลือกทำโครงการ SAP S/4HANA ที่เป็นกลยุทธ์ก้าวสำคัญของธุรกิจกับ ISS Consulting ในครั้งนี้
โครงการระบบ SAP S/4HANA ของ OCC โดย ISS Consulting นี้ได้เริ่ม Kick Off กันไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยได้มีการเพิ่มระบบ IS-RETAIL สำหรับช่วยบริหารจัดการร้านค้าเข้าไปด้วย เพื่อให้การทำงานหน้าร้านนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการรวบรวมข้อมูลจากหน้าร้านมาเตรียมทำการวิเคราะห์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งโครงการในครั้งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2562 ที่จะถึงนี้
เกี่ยวกับ ISS Consulting (Thailand) Ltd.
บริษัท ไอเอสเอสคอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบ พัฒนา และติดตั้งระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ERP ให้กับธุรกิจทุกขนาดในหลากหลายอุตสาหกรรมมาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีของ SAP ครอบคลุมทั้ง SAP Business All-in-One (SAP A1), SAP Business One (SAP B1) และ SAP Business ByDesign โดยปัจจุบันนี้มีลูกค้าธุรกิจและองค์กรทั่วประเทศไทยรวมมากกว่า 200 ราย พร้อมให้บริการทั่วประเทศไทยโดยทีมงานกว่า 250 คน
ล่าสุดในปี 2018 ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้จัดงานครบรอบ 20 ปี พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ถึงการขยายตลาด SAP โดยนำโซลูชันอื่นๆ นอกเหนือจาก ERP อย่างเช่น SAP C/4HANA ระบบ CRM/CX, SAP SuccessFactors ระบบ HRM และอื่นๆ อีกมากมายเข้ามาเติมเต็มความต้องการของธุรกิจไทย ให้การทำ Digital Transformation เป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ทางบริษัทยังเป็นส่วนหนึ่งของ United VARS ซึ่งเป็นการรวมตัวของเหล่าพาร์ทเนอร์ของ SAP ทั่วโลก เพื่อให้บริการการติดตั้งและให้คำปรึกษาในการใช้งาน SAP สำหรับธุรกิจข้ามชาติโดยเฉพาะ เพื่อให้ในแต่ละสาขาของธุรกิจข้ามชาตินั้นๆ ได้รับบริการจากพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่นซึ่งมีความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในธุรกิจภูมิภาคนั้นๆ เป็นอย่างดี พร้อมนำองค์ความรู้ด้านกระบวนการทางธุรกิจ, เทคโนโลยี และกฎหมายมาประยุกต์ใช้ในระบบเพื่อให้การใช้งานเทคโนโลยีของ SAP ในประเทศต่างๆ เป็นไปได้ด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด
ปัจจุบัน บริษัท ไอเอสเอสคอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการแต่งตั้งจาก SAP ให้เป็นพาร์ทเนอร์ระดับ Platinum ที่มุ่งเน้นนำเสนอโซลูชั่นที่เป็นประโยชน์กับองค์กรธุรกิจหลากหลาย โดยในปี 2018 ที่ผ่านมานี้ ทางบริษัทก็ได้รับรางวัลจาก SAP มากมาย ได้แก่
- รางวัลลูกค้าใหม่สูงสุดในกลุ่มธุรกิจ General Business (GB) จากงาน SAP Partner Kick Off 2018 จากการมีฐานลูกค้าใหม่ที่ใช้งาน SAP A1 และ SAP B1 เพิ่มมากที่สุดในปี 2017
- รางวัล SAP -qualified partner -packaged solution for SAP S/4HANA สำหรับ Smart One S/4HANA Implementation for Manufacturing, Smart One S4/HANA Implementation for Trading และ Smart One S/4 HANA Conversion ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับพาร์ทเนอร์ที่สามารถส่งมอบโซลูชัน SAP S/4HANA ให้กับลูกค้าองค์กรต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
- รางวัล Top Net New Names Contribution 2018 ซึ่งเป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงการที่ ISS Consulting มีลูกค้า SAP รายใหม่เป็นจำนวนมากที่สุด
- รางวัล Top DRS Contribution 2018 ซึ่งเป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงการที่ ISS Consulting นั้นได้มีลูกค้า SAP รายใหม่ๆ ไว้วางใจเตรียมพร้อมขึ้นโครงการในอนาคตด้วยกันมากที่สุด
- รางวัล SAP Business One Top Performance Award 2018 เป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงการที่ ISS Consulting มีผลงานและสร้างยอดขายสูงสุดให้กับ SAP Business One
- รางวัล Partner of The Year 2018 สุดยอด Partner ของ SAP ประจำปี 2018 จากการต่อยอดโครงการ SAP ของลูกค้าเดิมที่ไว้วางใจใช้บริการ ISS Consulting รวมกับการริเริ่มโครงการ SAP ร่วมกับลูกค้ารายใหม่มากที่สุดในปี 2018 ที่ผ่านมา
ผู้ที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่อง SAP เพื่อพัฒนาระบบบริหารการจัดการในองค์กรให้ดีขึ้น ISS Consulting พร้อมให้คำปรึกษาในทุกกลุ่มประเภทธุรกิจเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ ISS Consulting (Thailand) ได้ที่ http://www.issconsulting.co.th/ หรือโทร 02 237 0553