ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการออกมาเตือนกันอยู่ตลอดว่า IPv4 นั้นใกล้หมดแล้ว แต่หลายๆ ประเทศก็ยังไม่ตื่นตัวกันนักเพราะจำนวนของ IP Address ที่มีอยู่ยังพอปรับแก้ไขให้สามารถให้บริการต่อผู้ใช้งานในแต่ลประเทศได้ด้วยเทคนิคต่างๆ แต่ในอนาคตอันใกล้วิธีการเดิมๆ จะไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วจากการมาของ Internet of Things (IoT) ที่จะมีจำนวนมหาศาลและต้องการ IP Address เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น และแต่ละประเทศก็ต้องเตรียมโอบรับต่อโครงสร้างของระบบเครือข่ายที่เป็น IPv6 กันให้ดี

ในรายงาน 2017 Cisco Mobile Visual Networking Index (VNI) นั้นได้ทำนายเอาไว้ว่าภายในปี 2021 นั้นจะมีอุปกรณ์ Mobile Device และอุปกรณ์ที่ทำงานแบบ Machine-to-Machine (M2M) มากถึง 12,000 ล้านอุปกรณ์ โดยตัวเลขนี้จะเติบโตปีละ 8% จากปี 2016 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2021 รวมทั้งสิ้นแล้วเราจะมีอุปกรณ์ในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นถึง 4,000 ล้านอุปกรณ์ภายในเวลา 5 ปี

ส่วนการเติบโตของการใช้ IPv6 สำหรับอุปกรณ์พกพาเหล่านี้ก็จะเติบโตจาก 3,400 ล้านอุปกรณ์ในปี 2016 เพิ่มขึ้นไปจนถึง 8,400 ล้านอุปกรณ์ภายในปี 2021 ซึ่ง Cisco ยังได้แจงถึงข้อดีของการใช้ IPv6 ที่มากยิ่งกว่าแค่จำนวน IP Address ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเอาไว้ด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่
- การรับส่งข้อมูลทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็น Real-time มากขึ้น เนื่องจาก IPv6 นั้นมี Overhead ต่างๆ น้อยกว่า IPv4 อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทำ Checksum, การทำ Routing ที่รวดเร็วยิ่งกว่า, การใช้ Multicast เป็นหลักแทน Broadcast และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีความปลอดภัยสูงขึ้น ปัจจุบัน IPv6 นั้นรองรับ IPSec แล้ว ทำให้อุปกรณ์ IoT ต่างๆ สามารถเสริมความปลอดภัยในการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้นได้ด้วยการทำ IPSec นั่นเอง
- เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น โดย IPv6 นั้นถูกออกแบบให้ทำงานได้แบบ Out-of-the-Box สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ทันทีด้วยการกำหนด Static IP Address ให้แก่อุปกรณ์แบบ M2M ได้เลย ทำให้สามารถลดภาระการกำหนดค่าเบื้องต้นในการเชื่อมต่อเครือข่ายลงไปได้เป็นอย่างมาก ส่งผลให้การใช้งาน IoT นั้นง่ายดายยิ่งขึ้นตามไปด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายงาน 2017 Cisco Mobile VNI ฉบับเต็มกันได้ที่ http://www.cisco.com/c/en/us/solutions/service-provider/visual-networking-index-vni/index.html ทันที
ที่มา: http://blogs.cisco.com/sp/ipv6-enables-global-mobile-iot-innovation-and-proliferation