Bitdefender เป็นหนึ่งในบริษัทซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่หลายๆ คนคงรู้จักกันดี ด้วยการมีผลการทดสอบด้านความมั่นคงปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งจากสถาบันวิจัยอิสระชื่อดังหลากหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น AV-Test, AV-Comparatives หรือ Virus Bulletin ทำให้มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากจากทั่วโลก แต่นอกจากซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสสำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไปแล้ว Bitdefender ยังมีโซลูชันด้าน Endpoint Security ที่ถูกออกแบบมาสำหรับปกป้องเครื่องลูกข่ายภายในองค์กรด้วย นั่นคือ Bitdefender GravityZone ที่สนับสนุนด้วยเทคโนโลยี AI และ Machine Learning
** ทดลองใช้ Bitdefender GravityZone ฟรีได้ที่ https://www.bitdefender.co.th/business/free-trials/?who=Tech_Talk_Thai
รู้จักกับ Bitdefender เบื้องต้นกันก่อน
Bitdefender ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2001 ณ เมืองบูชาเรส ประเทศโรมาเนีย โดยมุ่งเน้นการให้บริการโซลูชันด้าน Endpoint Security สำหรับปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ก สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต จากภัยคุกคามไซเบอร์ ตั้งแต่การใช้งานตามบ้านเรือน ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานหลายพันคน ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ได้รับการคุ้มครองจากโซลูชันของ Bitdefender มากกว่า 500 ล้านเครื่องทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี OME Partners อีกว่า 150 ราย ได้แก่ Cisco, Checkpoint, FireEye, Trustwave, Solarwinds และอื่นๆ
โซลูชันของ Bitdefender จะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
- Consumer: สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Android และ iOS
- SME: โซลูชันสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สามารถบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ได้จากเซิร์ฟเวอร์กลางหรือระบบ Cloud
- Enterprise: โซลูชันสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ทั้งแบบ Physical และ Virtual, คอมพิวเตอร์ทั่วไป และอุปกรณ์พกพา ซึ่งผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ทั้งหมดได้ศูนย์กลาง
- xSP: โซลูชันที่ถูกออกแบบมาสำหรับ Managed Service Provider, ISP และผู้ให้บริการอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีระบบ Cloud และต้องการการขยายระบบในอนาคต
สำหรับบทความนี้ เราจะกล่าวถึงเฉพาะ Bitdefender GravityZone ซึ่งเป็นโซลูชันสำหรับ Enterprise เท่านั้น
ผู้นำด้านนวัตกรรมความมั่นคงปลอดภัยสำหรับ Endpoint และ Machine Learning
ภัยคุกคามไซเบอร์ในปัจจุบันมีการพัฒนาให้มีความซับซ้อนและสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยแบบดั้งเดิมได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น Advaned Malware, Ransomware หรือ Fileless Attack การตรวจจับโดยอาศัยเพียงแค่รูปแบบหรือ Signature เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้อีกต่อไป เจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยหลายรายจึงเริ่มนำเทคโนโลยี Machine Learning และ AI เข้ามาสนับสนุนการตรวจจับภัยคุกคามระดับสูงมากขึ้น
Bitdefender เริ่มคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี Machine Leartning ตั้งแต่ปี 2008 เพื่อเพิ่มความสามารถในการจำแนกและตรวจจับภัยคุกคามระดับสูง จากนั้นก็ต่อยอดด้วยการนำเทคนิค Deep Learning เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ รวมไปพัฒนาอัลกอริธึมอีกเป็นจำนวนมากเพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดอัตราการเกิด False Positive ให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bitdefender ครองตำแหน่งผู้นำด้านโซลูชัน Anti-malware จากสถาบันวิจัยอิสระอย่าง AV-Test และ AV-Comparatives เสมอมา
คุณสมบัติเด่นของ Bitdefender GravityZone ได้แก่
- HyperDetect: ผสานรวมเทคนิค Machine Learning และ Heuristic-based Approach ในการตรวจจับภัยคุกคามระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น Advanced Malware, Ransomware, Fileless Attack ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำงานโดยไม่จำเป็นต้องอาศัย Signature
- Ransomware Vaccine และ ATC: เทคนิคการตรวจจับ Unknown Ransomware โดยใช้การวิเคราะห์เชิงพฤติกรรมระดับสูง (Behavioral Analytics) เพื่อยับยั้งการโจมตีและกักกันความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด
- Sandbox Analyzer: โซลูชัน Advanced Sandboxing ของ Bitdefender สำหรับวิเคราะห์ไฟล์ต้องสงสัยด้วยการจำลองการทำงานจริงๆ แบบเรียลไทม์ สนับสนุนโดยเทคนิค Machine Learning และ Behaviral Analytics
- Advanced Anti-Exploit: เทคโนโลยีสำหรับป้องกันการเจาะระบบผ่านช่องโหว่ของแอปพลิเคชันโดยอาศัยการตรวจสอบการทำงานของ Memory
- Process Inspector: เฝ้าระวังการทำงานของโปรเซสและทำการยับยั้งทันทีเมื่อค้นพบพฤติกรรมที่ผิดปกติซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Fileless Attack หรือ Ransomware ได้
- Anti-phishing และ Web Security Filtering: ปกป้องผู้ใช้จากการเข้าถึงเว็บ Phishing รวมไปถึงการดาวน์โหลดมัลแวร์จากเว็บไซต์ไม่พึงประสงค์ต่างๆ
- Smart Centralized Scanning: การส่งไฟล์ต้องสงสัยไปตรวจสอบบนเซิร์ฟเวอร์กลางแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องส่งไปยังระบบ Cloud เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานไม่สูงนัก
นอกจากความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามระดับสูงและการโจมตีที่มีความซับซ้อนแล้ว Bitdefender ยังมีฟีเจอร์สำหรับคลีนมัลแวร์และฟื้นฟูอุปกรณ์ให้สามารถกลับมาทำงานได้ตามเดิม รวมไปถึงการทำ Application Control, Full-Desk Encryption, Patch Management และ Endpoint Detection & Response ได้อีกด้วย
ปกป้องทุกเซิร์ฟเวอร์ในสภาวะแวดล้อมแบบ Virtualization
สำหรับการใช้งานในสภาวะแวดล้อมแบบ Virtualization นั้น Bitdefender GravityZone รองรับการทำงานร่วมกับ Hypervisor หลากหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น VMware, Citrix, Microsoft Hyper-V, Red Hat หรือ Oracle VM สำหรับปกป้อง Guest OS ทั้ง Windows และ Linux ที่สำคัญคือ สามารถผสานการทำงานร่วมกับ vShield Endpoint เพื่อป้องกันมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องติดตั้ง Agent เพิ่มเติมแต่อย่างใด
ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยของแต่ละ VM บน Physical Server ได้ผ่านทางเซิร์ฟเวอร์กลางซึ่งเป็นอีก VM หนึ่ง เรียกว่า Security Server โดยจะใช้เทคโนโลยี Smart Centralized Scanning ในการสแกนหามัลแวร์บนทุก VM แทนที่จะต้องติดตั้ง Scan Agent ซึ่งบริหารจัดการได้ยากกว่า และส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของ VM เหล่านั้นน้อย นอกจากจะสามารถติดตามสถานะของแต่ละ VM ได้ผ่านทาง Security Server แล้ว Bitdefender ยังให้บริการ Agent ขนาดเล็กบน VM เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบสถานะขณะเข้าถึง VM นั้นๆ อีกด้วย
มาพร้อมกับ Email Security และ Mobile Device Management
Bitdefender GravityZone ยังมาพร้อมกับระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับอีเมล ซึ่งสามารถผสานการทำงานร่วมกับ Microsoft Exchange และ Linux Email Server ได้อย่างไร้รอยต่อเพื่อให้บริการ Anti-malware, Anti-spam, Anti-Phishing และ Content Filtering เพื่อปกป้องผู้ใช้งานจากภัยคุกคามที่แฝงมากับอีเมล
นอกจากนี้ Bitdefender GravityZone ยังให้บริการระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์พกพา ได้แก่ Android และ iOS เพื่อให้การนำอุปกรณ์ดังกล่าวเข้ามาใช้งานสอดคล้องกับข้อกำหนดและนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยขององค์กร โดยรองรับฟีเจอร์ Screen Lock, Authentication Control, Device Location Tracking, Remote Wipe, Root/Jailbreak Detection และ Security Profiles
แนะนำ Bitdefender GravityZone สำหรับองค์กรระดับ Enterprise
Bitdefender GravityZone เป็นโซลูชัน Endpoint Security ที่ถูกออกแบบมาสำหรับปกป้องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในองค์กรขนาดใหญ่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ทั้งแบบ Physical และ Virtual, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน๊ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพา ครอบคลุมทั้งระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Linux, Android และ iOS โดยผู้ดูแลระบบสามารถเลือกบริหารจัดการได้แบบรวมศูนย์ผ่านเซิร์ฟเวอร์กลางหรือระบบ Cloud
Bitdefender GravityZone แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มโซลูชัน ได้แก่ Business Security, Advanced Business Security, Elite Security HD, Ultra Security และ Enterprise Security ซึ่งแตกต่างกันไปตามฟีเจอร์ที่แสดงดังตารางด้านล่าง สำหรับ License จะเป็นแบบ Subscription และพิจารณาตามจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องการคุ้มครอง

ครองตำแหน่ง “สุดยอดผลิตภัณฑ์แห่งปี” ประจำปี 2017
AV-Comparatives สถาบันอิสระที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำการทดสอบซอฟต์แวร์รักษาความมั่นคงปลอดภัย ประกาศให้โซลูชันของ Bitdefender เป็น “สุดยอดผลิตภัณฑ์แห่งปี” ประจำปี 2017 โดยมีผลการทดสอบระดับ Advanced+ (ระดับสูงสุด) ในทุกการทดสอบรวม 7 รายการ เหนือผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งรายอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล Gold Award จากการทดสอบ Real-World Protection Test อีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจ Bitdefender GravityZone สามารถลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้งานได้ฟรีที่ https://www.bitdefender.co.th/business/free-trials/?who=Tech_Talk_Thai
5 เหตุผลสำคัญที่ควรทดลองใช้ Bitdefender GravityZone
- ถูกจัดอันดับในการทดสอบด้านความสามารถในการป้องกัน ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งานจากสถาบันอิสระมากที่สุด และได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้ในการปกป้องอุปกรณ์กว่า 500 ล้านเครื่องทั่วโลก
- Global Protective Network ทำการวิเคราะห์และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลด้านความมั่นคงปลอดภัยจากอุปกรณ์กว่า 500 ล้านเครื่องและจากแหล่งอื่นๆ เพื่อตรวจหาและป้องกันภัยคุกคามจากทั่วโลกได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที
- เป็นระบบ Advanced Endpoint Protection ที่มีการนำเทคนิค Machine Learning และ Heuristics ระดับสูงมาใช้เพื่อตรวจจับและบล็อก Ransomware รวมไปถึง Zero-day Attacks ที่มีความซับซ้อนสูง
- ใช้งานได้ง่ายผ่านทางหน้าบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ซึ่งถูกออกแบบมาให้สามารถติดตามแพลตฟอร์มทั้งหมดภายใต้สภาวะแวดล้อมทั้ง Cloud และ Virtualization
- สนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่พร้อมช่วยเหลือในทุกๆ ขั้นตอน