ทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณ David Vesely ผู้ดำรงตำแหน่ง Business Development Manager, Asia แห่ง StorageCraft ซึ่งเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยี Backup ความเร็วสูงและกินทรัพยากรน้อยมากสำหรับ Data Center โดยเฉพาะ โดยคุณ David ได้แบ่งปันข้อมูลเชิงเทคนิคมากมายเกี่ยวกับการทำงานของ StorageCraft ซึ่งทางทีมงาน TechTalkThai เห็นว่าค่อนข้างน่าสนใจ และน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการสำรองข้อมูลให้กับผู้อ่านได้ จึงขอนำมาสรุปเนื้อหาการสัมภาษณ์เอาไว้ตรงนี้ครับ
StorageCraft: บริษัท Backup ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นหลัก แต่ก็ยังมีลูกค้าทั่วโลกมากกว่า 80,000 องค์กร
หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อของ StorageCraft มาก่อน ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะแม้แต่คุณ David เองก็ออกมายอมรับเหมือนกันว่า StorageCraft แทบไม่ได้ทำการตลาดเลยตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อปี 2003 แต่อาศัยพาร์ทเนอร์ทั่วโลกกว่า 8,000 รายที่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีของ StorageCraft และนำไปช่วยขายให้กับเหล่าองค์กรกว่า 80,000 แห่งทั่วโลก และสำหรับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ก็เพิ่งเข้ามาได้เป็นเวลาเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น ส่วนในไทยนี้ก็มีลูกค้าเกินกว่า 1,000 องค์กรไปแล้วจากความช่วยเหลือของเหล่าพาร์ทเนอร์ในประเทศไทยนี้เอง
แต่ตอนนี้เมื่อ StorageCraft ได้พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ มากมายจนอยู่ตัวแล้ว และเริ่มขยายตลาดด้วยการเข้าซื้อกิจการอื่นๆ เช่น Gillware ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Data Analytics สำหรับระบบ Desktop Backup โดยเฉพาะ ไปจนถึง ExaBlox ผู้พัฒนาเทคโนโลยี Scale-out NAS Storage (Object-based Storage) สำหรับตอบโจทย์ Primary Storage และ Secondary Storage ภายในองค์กร ทาง StorageCraft ก็จะเริ่มทำการตลาดมากขึ้นเพื่อให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในฐานะของผู้พัฒนาระบบ Backup & Recovery ที่มีเทคโนโลยีครบครันแล้ว
ลด RTO และ RPO ให้น้อยที่สุด คือโจทย์ที่สำคัญที่สุดของ StorageCraft
StorageCraft นี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาในสมัยปี 2003 ที่เทคโนโลยีการสำรองข้อมูลนั้นยังไม่มีความหลากหลาย และทำงานได้ช้า และแม้ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกพัฒนาให้เร็วขึ้นในหลายแง่มุมแล้ว แต่การตอบโจทยในการลด Recovery Time Objective (RTO) และ Recovery Point Objective (RPO) ของระบบทั้งหมดให้ได้น้อยที่สุดนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับหลายๆ องค์กรอยู่ดี ซึ่งทาง StorageCraft เองนั้นก็ได้ให้สาเหตุมาว่า เป็นเพราะเทคโนโลยีสำรองข้อมูลทั่วไปยังคงต้องมีการประมวลผล Metadata ซึ่งเป็นส่วนที่เสียเวลามากนั่นเอง
สิ่งที่ StorageCraft ทำนั้นก็คือการพัฒนาเทคโนโลยี Disk Sector-based Backup ด้วยการพัฒนา Software ของตัวเองขึ้นมาทำงานในชั้น Driver ของระบบปฏิบัติการ และดักข้อมูลที่เกิดขึ้นจากทุกๆ การเขียนข้อมูลไปทำการสำรองโดยไม่ได้สนใจว่าข้อมูลจริงๆ ที่เขียนขึ้นมานั้นจะเป็นข้อมูลอะไร ทำให้สามารถเก็บทุกการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องพิจารณา Metadata เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่กินประสิทธิภาพการทำงานของระบบเลยอีกด้วย ทำให้การสำรองข้อมูลนั้นสามารถเกิดได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ ในขณะที่การกู้คืนข้อมูลนั้นก็เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ลดทั้ง RTO และ RPO ให้เหลือเพียง 3-5 นาทีเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมากทีเดียว
การสำรองข้อมูลแบบ Disk Sector-based Backup นี้จะได้เปรียบมากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นในไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งโซลูชันการสำรองข้อมูลแบบอื่นๆ นั้นอาจต้องทำการอ่านทั้งไฟล์เพื่อนำไปสำรองข้อมูล ในขณะที่ StorageCraft สามารถจับเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลงในระดับ Disk Sector ไปทำการสำรองได้ กรณีลักษณะนี้จะเห็นความต่างทางด้านประสิทธิภาพการทำงานที่ชัดมาก
เทคโนโลยีสำรองข้อมูลแบบ Disk Sector-based Backup นี้เองที่กลายมาเป็นหัวใจให้กับผลิตภัณฑ์เรือธงของ StorageCraft อย่าง StorageCraft ShadowProtect SPX ที่เพิ่งได้รับรางวัล Gold Award ในหมวด Data Protection จากงาน VMworld 2016 เมื่อปีก่อนนี้ ด้วยการรองรับระบบปฏิบัติการทั้ง Microsoft Windows และ Linux ในตัว และแน่นอนว่าความสามารถพื้นฐานต่างๆ ทั้งการตั้งเวลาในการสำรองข้อมูล, การบริหารจัดการจากศูนย์กลาง และอื่นๆ นั้นก็สามารถทำได้อย่างครบถ้วน
สำรองข้อมูลและกู้ข้อมูลได้เร็วนั้นยังไม่พอ แต่การกู้คืนต้องมีความยืดหยุ่นด้วย
อีกโจทย์หนึ่งที่ StorageCraft ได้พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในระดับองค์กรนี้ ก็คือความยืดหยุ่นในการกู้คืนข้อมูล ซึ่งทาง StorageCraft เองก็ได้พัฒนาระบบสำหรับทำการกู้คืนข้อมูลที่รองรับกรณีการใช้งานได้ค่อนข้างหลากหลายภายใต้ชื่อเทคโนโลยี VIRTUALBOOT ตัวอย่างเช่น
- สามารถกู้คืนไฟล์ต่างๆ ที่เคยสำรองเอาไว้ได้ผ่าน Windows Explorer (Windows) / filemanager (Linux)
- สามารถกู้คืนทั้ง Physical Server ไปยัง Physical Server เครื่องอื่นยี่ห้ออื่นได้
- สามารถกู้คืนทั้ง Physical Server ไปยัง Virtual Machine (VM) ได้หลากหลายค่าย
- สามารถกู้คืนทั้ง VM ไปยัง VM ค่ายอื่นๆ ได้ ทำให้รองรับการ Migrate Hypervisor ภายในองค์กรได้
ซึ่งเวลาที่ใช้การกู้คืนนี้ถือว่าน้อยมาก เพราะเนื่องจากข้อมูลที่สำรองเอาไว้นั้นอยู่ในรูปของ Disk Sector อยู่แล้ว การนำข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบกันจนกลายเป็น Disk ลูกใหม่ให้พร้อมใช้งานได้นั้นจึงแทบไม่ต้องใช้เวลาเลย
ความเร็วในการกู้คืนข้อมูลนี้ ยังทำให้ StorageCraft สามารถทำการทดสอบการกู้คืนข้อมูลหรือระบบต่างๆ แบบอัตโนมัติได้อย่างต่อเนื่อง โดยการกำหนดตารางให้ทำการทดสอบการกู้คืนโดยอัตโนมัติเอาไว้ จากนั้น StorageCraft จะนำ Image ของข้อมูลที่สำรองนี้มาเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และทำการ Capture หน้าจอเพื่อทำการสรุปเป็นรายงานว่าระบบใดสามารถกู้คืนและเปิดขึ้นมาใช้งานได้สำเร็จบ้างในแต่ละวัน
ใช้ Bandwidth ในการ Replicate ข้อมูลเพียง 512Kbps และแถมสิทธิ์การ Replicate ข้อมูลให้ใช้ได้ฟรีๆ
ถือเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของ StorageCraft เลยก็ว่าได้ กับการที่ใช้ Bandwidth ในการ Replicate ข้อมูลเพียงแค่ 512Kbps ก็เพียงพอแล้ว เนื่องจาก StorageCraft จะทำการส่งเฉพาะข้อมูลที่เขียนใหม่ไปเท่านั้นในรูปแบบของ Disk Sector-based ทำให้กินพื้นที่น้อยมาก อีกทั้งการแถมระบบ Replication ให้ใช้ได้ฟรีๆ เองนี้ก็ทำให้หลายๆ องค์กรที่อยากจะทำ Remote Backup หรือ Disaster Recovery Site สามารถเริ่มต้นได้อย่างง่ายดาย ด้วยความเร็วการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ต่ำมาก
ทดลองใช้งาน StorageCraft ได้ฟรีๆ ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจอยากทดลองใช้งาน StorageCraft สามารถ Download ได้ทันทีที่ https://www.storagecraft.com/downloads/trials-updates
StorageCraft เปิดรับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ และ CSP ที่จะร่วมธุรกิจ Backup-as-a-Service ด้วยกัน
StorageCraft นี้เตรียมทำตลาดในประเทศไทยผ่านทาง ACA Pacific Group ผู้เป็น Distributor ของ StorageCraft ในประเทศไทย โดยเปิดรับทั้ง Systems Integrator (SI) ที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ และ Cloud Services Provider (CSP) ที่จะมาทำธุรกิจร่วมกันสำหรับตลาด Backup-as-a-Service (Baas) หรือ DR-as-a-Service (DRaaS) ก็ตาม
ติดต่อ ACA Pacific Group ได้ทันที
ผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของ StorageCraft และต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม, ต้องการเป็นพาร์ทเนอร์ หรือต้องการใบเสนอราคา สามารถติดต่อได้ที่คุณ Chairat Srinutisup ผู้ดำรงตำแหน่ง Business Manager แห่ง ACA Pacific Group ได้ที่ 086-303-3860 หรือ chairat@acagroup.com ได้ทันที