CDIC 2023

สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ Yarime Masaru ที่ปรึกษาโครงการ Smart City ของญี่ปุ่น กับการนำ IoT ไปใช้งานจริง

ทาง NetApp ได้เชิญทีมงาน TechTalkThai ไปร่วมงานสัมมนา Secure Cities ที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์เพื่อแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการทำ Secure Cities หรือโครงการ Smart Cities ที่มีความปลอดภัยสูงในแถบภูมิภาคเอเชีย และทางทีมงาน TechTalkThai ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ศาสตราจารย์ Yarime Masaru จาก University of Tokyo ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านวิชาการแก่โครงการ Smart City ของญี่ปุ่น จึงขอสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจมาเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทยเอาไว้ดังนี้ครับ

Credit: ShutterStock.com
Credit: ShutterStock.com

 

Smart City ของญี่ปุ่น: เริ่มต้นตามหัวเมืองใหญ่ ให้รัฐเป็นผู้สนับสนุนหลัก เสริมด้วยภาคเอกชน

ญี่ปุ่นนั้นเริ่มต้นโครงการ Smart City โดยมีรัฐเป็นผู้สนับสนุนหลักทั้งในแง่ของนโยบายและงบประมาณ โดยเมืองแรกที่เริ่มต้นทำโครงการนี้เมื่อ 5 ปีก่อนก็คือโยโกฮามา และตามมาด้วยหัวเมื่องใหญ่ๆ อย่างโตเกียว, เมืองรอบๆ และเมืองอื่นๆ โดยในโครงการของแต่ละเมืองนั้นก็จะมีความแตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละเมือง และก็มีหน่วยงานเอกชนมาร่วมสนับสนุนในแง่ของเทคโนโลยีด้วย เช่น นิสสันและโตโยตา

การที่ภาครัฐเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำโครงการ Smart City นี้ทำให้ความก้าวหน้าของโครงการเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในแต่ละเมือง, การนำข้อมูลการใช้ทรัพยากรต่างๆ มาประเมินและตัดสินใจ, การขอความร่วมมือจากภาคเอกชน รวมไปถึงการจัดการในแง่นโยบายและกฎหมายที่จำเป็นของญี่ปุ่นเองในการก้าวไปสู่การเป็น Smart City ที่จะเป็นก้าวแรกของการเติบโตไปเป็น Smart Nation

แน่นอนว่าความปลอดภัยในการจัดเก็บและนำข้อมูลต่างๆ มาใช้งานก็เป็นประเด็นที่ต้องพูดถึงอยู่ตลอดเวลา และทางญี่ปุ่นเองนั้นก็มองว่าการจัดการด้านความปลอดภัยแก่ระบบ Smart City นั้นถือเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้รองรับต่อระบบ Smart City ที่นับวันจะยิ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องไปทุกวัน

 

เน้นการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างภาคส่วน ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ศาสตราจารย์ Yarime Masaru เองนี้ก็เป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านวิศวกรรมเป็นอย่างดี และช่วยเริ่มต้นผลักดันโครงการ Smart City นี้ในแง่ของการใช้ทรัพยากรต่างๆ และการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในเมืองให้ดีขึ้นเป็นหลัก เช่น การตรวจสอบมิเตอร์ไฟฟ้าในแต่ละส่วนของเมืองเพื่อทำการวางแผนระบบไฟฟ้าและพลังงานให้มีความคุ้มค่ามากขึ้น, การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมเป็นพิษที่เกิดขึ้นภายในเมืองและเขตอุตสาหกรรม, การจัดการน้ำประปา, การจัดการการจราจร และอื่นๆ

ในการแก้ไขแต่ละปัญหานี้ การนำเทคโนโลยีที่แตกต่างกันมาใช้ให้ตรงต่อโจทย์ความต้องการถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้ระบบ Internet of Things (IoT) ที่นำมาใช้เป็น Sensor เพื่อติดตามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นออกมาเป็นตัวเลขหรือข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประมวลผลต่อยอดนั้นต้องถูกออกแบบสำหรับแต่ละงานเฉพาะไปให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการออกแบบระบบเครือข่ายเองก็ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ในการนำข้อมูลจากแต่ละภาคส่วนมาประกอบรวมกันนั้น การจัดการข้อมูลคือความท้าทายที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของการทำ IoT เพราะ IoT นั้นยังเป็นเรื่องใหม่และยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานใดๆ มารองรับ ดังนั้นการวางแผนระบบงานต่างๆ ให้ดี, การออกแบบระบบให้สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ และรองรับการเพิ่มขยายความต้องการในอนาคตจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้ดี

 

ก้าวถัดไปคือให้เอกชนเริ่มต้นเอง ยังมีจุดบอดด้าน Business Model

หลังจากที่โครงการเริ่มต้นที่สนับสนุนโดยภาครัฐจบลงไป ทางญี่ปุ่นเองก็ได้เวลาที่ภาคเอกชนจะลุกขึ้นมาทำโครงการ IoT สำหรับ Smart City ของตนเองบ้าง แต่ปัญหาใหญ่ในการทำโครงการต่อยอดนี้ก็คือประเด็นของ Business Model ที่ทางเอกชนและภาครัฐยังหาจุดลงตัวกันไม่ได้หากจะผันการทำ Smart City ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมจริงๆ อยู่

IoT ยังคงเป็นเรื่องของเอกชนรายใหญ่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตและรถยนต์ ยังไม่ใช่เวลาของ Startup รายย่อย

เมื่อถามถึงประเด็นว่า IoT นั้นได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมใดของญี่ปุ่น คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นก็ไม่ค่อยจะน่าแปลกใจนัก Connected Car หรือรถยนต์อัจฉริยะนั้นถือเป็นเทคโนโลยี IoT ที่ได้รับความนิยมสูงมากในญี่ปุ่นเนื่องจากญี่ปุ่นเองถือเป็นหนึ่งในประเทศยักษ์ใหญ่ทางด้านการผลิตรถยนต์ ในขณะเดียวกันโครงการ IoT สำหรับการใช้ปรับปรุงการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เองก็กำลังเติบโตเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ในญี่ปุ่นเองนั้นถึงแม้จะเริ่มมีโครงการ IoT มากมาย แต่ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นเองก็ยังถือว่าตามเทคโนโลยีฝั่งสหรัฐอเมริกาไม่ทัน โดยเฉพาะการนำ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) มาใช้ต่อยอดในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก Sensor แต่อย่างไรก็ดี การปรับปรุงกระบวนการการผลิตเองนั้นก็ถือเป็นจุดแข็งของญี่ปุ่นมาแต่ไหนแต่ไร และในการแข่งขันทางด้าน IoT นี้ ญี่ปุ่นเองก็จะสามารถแข่งขันด้วยโซลูชัน IoT สำหรับการผลิตได้อย่างแน่นอน

 

Smart Rail เป็นโครงการที่มีความท้าทายสูง แม้ระบบรถไฟของญี่ปุ่นจะล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นทั่วโลก

เป็นที่รู้กันดีว่าระบบรถไฟของญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของโลกมาโดยตลอด ด้วยความเที่ยงตรงและแม่นยำในการกำหนดเวลาเดินรถไฟในแต่ละวัน และการที่รถไฟนั้นถูกใช้เป็นการเดินทางหลักของประชาชนในญี่ปุ่น จึงมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าแล้วระบบ IoT สำหรับรถไฟหรือ Smart Rail นั้นเป็นอย่างไรบ้าง

คำตอบที่ได้นั้นสร้างความประหลาดใจไม่น้อยว่าในญี่ปุ่นเองนั้นยังไม่มี IoT สำหรับรถไฟ เพราะที่ผ่านมาเทคโนโลยีระบบรถไฟของญี่ปุ่นนั้นดำเนินการโดยเอกชน และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้นั้นก็ถือว่าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และติดตามได้แทบทุกส่วนของระบบรถไฟอยู่แล้ว ดังนั้นความท้าทายที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญถัดไปก็คือการนำข้อมูลของระบบรถไฟจากผู้ให้บริการเอกชนแต่ละรายมาผสานรวมกันให้กลายเป็นระบบเดียวให้ได้ และก้าวถัดไปที่ยากขึ้นไปอีกคือการนำข้อมูลของระบบรถไฟไปผสานรวมกับระบบอื่นๆ ของทางภาครัฐต่อไปนั่นเอง

 

ก็จบเพียงเท่านี้สำหรับการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ครับ ทางทีมงาน TechTalkThai ก็ต้องขอขอบคุณทาง NetApp Thailand ที่ให้โอกาสมาร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ด้วยครับ


About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

Gartner Hype Cycle ด้าน AI ปี 2023

Gartner ได้ออกคาดการณ์สำหรับการพัฒนาของ AI ในปี 2023 ซึ่งเจาะจงไปที่ Generative AI โดยหัวข้อแบ่งได้ 2 ส่วนคือ นวัตกรรมที่ได้รับการกระตุ้นจาก Generative AI และอีกส่วนคือ …

[รีวิว] Asus Zenbook 14X OLED รุ่น Sandstone Beige สีเบจ ให้ความรู้สึกเหมือนเซรามิก

Asus Zenbook 14X OLED มีการออกแบบที่โดดเด่นในสีเบจ Sandstone Beige เคลือบผิวด้วยเซรามิกรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนบนฝาแล็ปท็อป มีรูปทรงบางเบา ขนาดหน้าจอ 14.5” (2880×1800) OLED มาพร้อมพลังขับเคลื่อนชิป CPU …