IBM Flashsystem

[สัมภาษณ์] 2 ผู้บริหาร Bluebik กับเบื้องหลังความสำเร็จในการพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่

หลังจากโลกได้ผ่านยุค Digital Transformation เป็นกระแสหลัก สิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้มี “ข้อมูล” เกิดขึ้นบนโลกดิจิทัลเป็นจำนวนมหาศาล อันเกิดจากจำนวนผู้ใช้งานที่มีมากขึ้น ปริมาณธุรกรรมในหลากหลายระบบที่เกิดขึ้น รวมทั้งระบบ IoT ต่าง ๆ ที่สร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมาในทุกวินาที 

สิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ยุคปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันที่เป็นลักษณะ “แอปพลิเคชันขนาดใหญ่ (Large-Scale Application)” ที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลและผู้ใช้จำนวนมหาศาล ในขณะที่ “ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience)” ยังคงเป็นที่น่าประทับใจ สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นเช่นเดิม

อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้สามารถพัฒนา Large-Scale Application ได้สำเร็จ มาเรียนรู้กลเม็ดจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงอย่าง Bluebik ที่อยู่เบื้องการพัฒนาแอปพลิเคชันขนาดใหญ่มากมายกับ 2 ผู้บริหาร คุณปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ Chief Technology Officer แห่ง Bluebik และ คุณสรณัญช์ ชูฉัตร Chief Experience Office แห่ง Bluebik จากสัมภาษณ์กลุ่มในหัวข้อ “Scaling for Success: Inside the Architecture of Large-Scale Application” ได้ในบทความนี้

หากพูดถึงคำว่า “แอปพลิเคชันขนาดใหญ่ (Large-Scale Application)” มุมมองหนึ่งอาจจะนึกถึงว่าเป็นแอปพลิเคชันที่มีการเขียนโค้ด (Code) เป็นภาษาโปรแกรมมิ่ง (Programming Language) ในปริมาณมหาศาล แต่แท้จริงแล้ว การเรียกว่าเป็น Large-Scale Application นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ มากกว่าแค่เรื่องจำนวนบรรทัดของโค้ด

แล้วมีเกณฑ์อะไรหรือไม่ที่ใช้ตัดสินว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวนั้นเป็น Large-Scale Application คุณปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ Chief Technology Officer แห่ง Bluebik ได้ชี้ 5 เกณฑ์สำคัญในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างแอปพลิเคชันขนาดใหญ่กับแอปพลิเคชันทั่วไป ได้แก่

  1. High Concurrent User การมีจำนวนผู้ใช้งานพร้อมกันมาก ๆ ในระดับล้านหรือสิบล้านบัญชี ซึ่งจะขึ้นกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น Taobao ในจีนที่มี Monthly Active User สูงถึง 930 ล้านบัญชี ณ ไตรมาส 3 ปี 2024 หรือแอป SCB EASY ของไทยที่มีผู้ใช้งาน 14.9 ล้านบัญชี ณ สิ้นปี 2023 เป็นต้น
  2. High Transaction Throughput ว่ามีปริมาณธุรกรรมที่เข้าออกแอปพลิเคชันสูง ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Mobile Banking ที่มักจะนับกันในระดับหลายล้านธุรกรรม 
  3. Vast Data Volume ปริมาณข้อมูลมหาศาลที่เกิดขึ้นต่อวันระดับหลักแสนหรือล้านรายการ (Record) อย่างเช่นในแอปพลิเคชัน e-Commerce อย่าง Lazada หรือ Shopee ที่ต้องมีการเก็บบันทึก (Log) พฤติกรรมผู้ใช้เอาไว้ หรือธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อมูลระดับ GB หรือ TB ต่อวันได้เลย
  4. Wide Integration Scope โดยจำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงกับระบบหลากหลายผ่าน Integration Point หรือ API หลากหลายระบบ เช่น ระบบรับชำระเงินที่ต้องเชื่อมโยงกับระบบ Payment Gateway ระบบ Core Banking ของธนาคาร รวมทั้งระบบพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
  5. Performance & Security ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัยที่จะมีความเข้มงวดมากกว่า เพราะองค์กรจำเป็นต้องปกป้องข้อมูลตามมาตรฐานต่าง ๆ และต้องพร้อมตอบสนองต่อความคาดหวังที่ระบบจะต้องสามารถออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง
คุณปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ Chief Technology Officer แห่ง Bluebik

“ไม่ได้มีเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งที่จะบอกได้ว่าเป็น Large-Scale Application ซึ่งมันไม่ได้วัดที่แกนใดแกนหนึ่งด้วย เช่น Concurrent User อาจจะมีไม่ถึงหนึ่งพัน แต่ปริมาณข้อมูลมหาศาล ก็เรียกว่าเป็น Large-Scale Application ได้เช่นกัน” คุณปกรณ์ กล่าว 

ภายในเซสชัน คุณปกรณ์ ได้ยกตัวอย่าง 3 ประเภทของ Large-Scale Application ที่มักพบเจอ ซึ่งหากแอปพลิเคชันใดมีครบทั้ง 3 รูปแบบ จะเรียกได้ว่าเป็น Large-Scale Application ที่ใหญ่มาก ๆ โดย 3 ประเภทดังกล่าวนั้น ได้แก่

  1. Data Intensive Application แอปพลิเคชันที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลมาก ๆ ที่ต้องสามารถรองรับได้ระดับหลายเทระไบต์ (TB) หรือเพตะไบต์ (PB) เช่น ระบบ AI, Data Analytics หรือระบบหลังบ้านของ Superapp ระบบ CRM ของธนาคารที่แม้จะมีผู้ใช้งานไม่ถึงร้อยแต่ขนาดข้อมูลมหาศาล
  2. Integration Heavy แอปพลิเคชันที่เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบต่าง ๆ จำนวนมหาศาล เช่น PromptPay ที่ต้องเชื่อมโยงกับระบบธนาคารร่วมกับร้านค้าที่ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลไปมาจำนวนมาก
  3. High Transaction Per Second (TPS) หรือ High Throughput แอปพลิเคชันที่ต้องรองรับจำนวนธุรกรรมที่ทำต่อวินาทีในจำนวนมาก ๆ เช่น ระบบซื้อขายหุ้น ระบบจองตั๋วคอนเสิร์ต หรือกระดานเทรดคริปโทฯ (Crypto Exchange)

“บางระบบถ้าหากมีครบทั้ง 3 รูปแบบ ทั้งมีข้อมูลเยอะ ต้องเชื่อมโยงข้อมูลเยอะ และมี Throughput เยอะ คือเรียกว่าเป็น Very Large-Scale Application ได้เลย” คุณปกรณ์ กล่าว “ตัวอย่างคือระบบซื้อขายหุ้นของ SET ที่ต่อหนึ่งหน่วยวินาทีที่อาจต้องรองรับเป็นล้านธุรกรรมให้ได้”

ความต้องการ Large-Scale Application ในอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ 

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แอปพลิเคชันในไทยกำลังจะการเป็น Large-Scale Application มากขึ้นเรื่อย ๆ คือผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยที่ยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้งานบนโทรศัพท์สมาร์ตโฟน ที่สามารถทำธุรกรรมได้อย่างง่ายดายในมือถือเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน ซื้อสินค้า จัดการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น

“ความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีค่อนข้างเติบโต เนื่องมาจากเทรนด์ของการพัฒนาแอปพลิเคชัน และความต้องการในฝั่งดิจิทัลที่เติบโตขึ้นทุกปี สิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้ขนาดของแอปพลิเคชันมีแต่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ” คุณปกรณ์ กล่าว

สิ่งที่เกิดขึ้น ได้ทำให้องค์กรในทุกอุตสาหกรรมที่พัฒนาแอปพลิเคชันต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในการรองรับหรือต้องเป็น Large-Scale Application รวมทั้งองค์กรในประเทศไทยด้วยเนื่องจากมีเทรนด์ที่ล้อไปกับเทรนด์ของโลกที่แอปพลิเคชันกำลังมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะมีหลากหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาแตกต่างกันไปในแต่บริบท ซึ่งจะต่างจากการพัฒนาแอปพลิเคชันทั่ว ๆ ไปอย่างมีนัยสำคัญ

“ตลาดดิจิทัลเติบโตขึ้นจากการมีผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งตัวเลขของจำนวนคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะเป็นตัวบอกว่าตลาดจะเติบโตไปมากขึ้นแค่ไหน” คุณปกรณ์ กล่าวเสริม “93% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในไทยนั้นเป็น Mobile-first แปลว่าคนไทยใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นหลักแล้ว นั่นแปลว่าเทรนด์ของประเทศไทยนั้นกำลังจะ Scale และ Mirror ลอกแบบเทรนด์ของทั่วโลกอยู่”  

แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญของการสร้าง Large-Scale Application ให้มีความทนทานพร้อมใช้งานได้ต่อเนื่องคือเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) หากแต่ภายในเซสชันสัมภาษณ์ ทาง Bluebik ได้ชี้อีกหนึ่งจุดที่สำคัญแต่หลายคนมักมองข้าม คือเรื่องของการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) ที่ต้องควรต้องมีระบบออกแบบ (Design System) ที่เหมาะสม 

คุณสรณัญช์ ชูฉัตร Chief Experience Office แห่ง Bluebik 

Design System นั้นอาจจะมองว่าเป็นแค่เรื่องการออกแบบ UX|UI ที่สะดวกกับการใช้งาน หน้าตาสวยงามและตรงกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ธุรกิจ หากแต่ คุณสรณัญช์ ชูฉัตร Chief Experience Office แห่ง Bluebik เน้นย้ำในเซสชันว่าสิ่งนี้มีผลต่อการสร้าง Large-Scale Application อย่างมีนัยสำคัญ ที่นอกจากทำให้สวยงามแล้ว ยังต้องใช้งานได้ดี ไม่กระทบกับประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันโดยรวม และใช้ได้จริงสำหรับทุกคน 

“เราเชื่อว่าไม่มี One-Size-Fits-All แล้ว การทำ Design System จึงเป็นเหมือนการตัดชุดสูท ที่ต้องรู้ว่าองค์กรแต่ละแห่งนั้นมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร และอัตลักษณ์ใหม่ที่เหมาะสมนั้นควรเป็นอย่างไร” คุณสรณัญช์ กล่าว 

โดยปัจจุบัน Bluebik พร้อมให้บริการ Enterprise Design System ระดับองค์กรที่ขับเคลื่อนการออกแบบด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เหนือกว่าแค่การทำ Design Thinking ทั่วไป รวมทั้งยังยึดหลักแนวคิด “Universal Design” ที่แอปพลิเคชันจะต้องใช้งานได้และทุกคนจะชอบใช้ ไม่ใช่แค่ออกแบบให้สวย แต่ยังตอบโจทย์ในเชิงธุรกิจ ทั้งความรู้สึกและเรื่องประสิทธิภาพที่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้อย่างยั่งยืน 

“เพราะบางปุ่มมีผลต่อประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันเป็นอย่างมาก ถ้าหากมีบางเมนูที่ไม่ได้อยากให้ใช้งานบ่อย ๆ การทำ Design System จะช่วยทำให้ลดการใช้งานลงได้ และทำให้ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชันโดยรวมยังใช้ได้” คุณสรณัญช์ กล่าวเสริม

เพราะการพัฒนา Large-Scale Application จะมีความซับซ้อนมากกว่าแอปพลิเคชันทั่วไป ดังนั้น Bluebik จึงได้แนะนำ 3 กุญแจสำคัญที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จในการพัฒนา Large-Scale Application ที่องค์กรต้องพิจารณา ได้แก่

ประเมิน Sizing ล่วงหน้า วางกลยุทธ์ในการ Scale โครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่น

การออกแบบโครงสร้างพื้นที่ยืดหยุ่นและพร้อมรองรับโหลดได้ทุกสถานการณ์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญอันดับหนึ่งในการพัฒนา Large-Scale Application ที่องค์กรจะต้องออกแบบให้มีความพร้อมใช้งานสูง (High Availability) ทนทานต่อความผิดพลาด (Fault Tolerance) ได้มาก และมีความมั่นคงปลอดภัย (Security)  

ดังนั้น การประเมิน Sizing และวางกลยุทธ์ในการ Scale In/Out หรือการทำ Auto Scaling แบบ Horizontal บนโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ขององค์กร จึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างละเอียดและรอบคอบ เช่น จะวางชั้น (Layer) แอปพลิเคชันอย่างไร ฐานข้อมูล ระบบสำรอง หรือการใช้แคช (Cache) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น เพราะหากระบบ Large-Scale Application เกิดปัญหา ผลที่ตามมานั้นจะคูณด้วยจำนวนผู้ใช้เสมอ

“ผมบอกทีมงานพัฒนาเสมอว่า ถ้าหากมี 1 ปัญหา (Issue) เกิดขึ้นมา ให้ตีเสียว่าจะมี 10,000 สายที่จะโทรมาหาเสมอ” คุณปกรณ์ กล่าว

วางแผนจัดการกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด

เนื่องจากระบบ Large-Scale Application มักจะต้องเชื่อมโยงกับข้อมูลกับอีกหลากหลายที่ผ่าน Microservice องค์กรจึงต้องวางแผนจัดการกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่าง ๆ ไว้ในแต่ละกรณี ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพื่อให้ระบบยังคงสามารถให้บริการกับผู้ใช้งานได้อย่างปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยที่ระบบไม่ได้ล่มไปแบบสมบูรณ์

ตัวอย่างเช่น กรณีระบบปลายทางที่ต้องติดต่อหรือส่งข้อมูลต่อไปนั้นเกิดเหตุติดขัดปัญหาหรืออาจจะล่มอยู่ แอปพลิเคชันขององค์กรที่กำลังให้บริการกับลูกค้าอยู่นั้นจะจัดการแจ้งเตือนกับผู้ใช้งานอย่างไร พักข้อมูลไว้ที่ไหน และเมื่อระบบปลายทางพร้อมใช้แล้ว จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เป็นต้น

ประยุกต์ Design System หา Universal Design ที่เหมาะสม

อีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือการออกแบบหน้าตา Design System ที่เหมาะสมกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของแบรนด์องค์กร และไม่กระทบกับโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการในภาพรวม หน้าตาสวยงามใช้งานได้ทุกคนในขณะที่ยังคงสามารถส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ประทับใจเช่นเดิม

“การทำ Design System ที่ดีควรจะสามารถรองรับการแก้ไขในอนาคตได้เสมอ ไม่ควรจะต้องมารื้อใหม่เริ่มใหม่หมดตลอดหากมีการแก้ไขเพิ่มเติม” คุณสรณัญช์ กล่าว

“Design System มีผลต่อการใช้งาน Large-Scale Application เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องพิจารณาแบบ End-To-End” คุณสรณัญช์ กล่าวเสริม

ภายในเซสชันสัมภาษณ์ คุณปกรณ์ ได้เผยถึงอุตสาหกรรมที่ Bluebik มองว่าจะยังคงมีการลงทุนใน Large-Scale Application เป็นพิเศษหลังจากนี้ ได้แก่

  • Banking & Financial Services เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารและสถาบันการเงินจะต้องปรับปรุงในทุก ๆ 3-5 ปี ประกอบกับผู้ใช้งานเริ่มไม่ไปสาขา เลือกใช้งาน Virtual Bank มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ใช้งานในโลกดิจิทัลจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
  • Retail & E-Commerce เพราะประสบการณ์ ช้อปปิ้งสินค้าเปลี่ยนไป โดยไม่ได้เป็นแค่การซื้อขายของออนไลน์เท่านั้น แต่จะเป็นการให้บริการผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ซึ่งคาดว่าธุรกิจค้าปลีกจะมาลงทุนในส่วนนี้เพิ่มเติมด้วย ดังนั้น ธุรกรรมในโลกดิจิทัลจะมีมากขึ้น
  • Insurance & Healthcare ธุรกิจในอุตสาหกรรมกำลังทรานส์ฟอร์มเข้าสู่โลกดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น 
  • Telecommunication ปริมาณข้อมูลจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการค้นหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) เพื่อต่อยอดบริการเพื่อส่งมอบคุณค่าสู่ผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
  • Manufacturing & Logistics ที่จะมีข้อมูลเข้าสู่โลกดิจิทัลจำนวนมหาศาล อาทิ อุปกรณ์ IoT ซึ่งจะทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ทำนายคาดการณ์ เช่น ช่วงเวลาการบำรุงรักษา ได้ดีขึ้น

จะเห็นได้ว่าการพัฒนา Large-Scale Application นั้นมีรูปแบบและปัจจัยที่ต้องพิจารณาที่มากกว่าการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบทั่ว ๆ ไป ซึ่ง Bluebik คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริงที่มีประสบการณ์ในการพัฒนา Large-Scale Application ที่ให้บริการผู้ใช้จำนวนมากมาแล้วหลากหลายแอปพลิเคชัน และบริษัทมีความพร้อมสนับสนุนองค์กรที่ต้องการ Large-Scale Application ได้แบบ End-To-End

“Large-Scale Application จะเป็นระบบที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีจุดที่ต้องพิจารณาค่อนข้างเยอะ กระบวนการพัฒนาจึงจะไม่ใช่แบบปกติ ซึ่งจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญของทีมพัฒนาที่จะแตกต่างไปกับการพัฒนาระบบทั่วไป” คุณปกรณ์ กล่าว

เพราะ Bluebik มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมสนับสนุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การออกแบบ และที่สำคัญคือเรื่อง Design System ที่จะทำให้การส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้เป็นไปได้อย่างดีที่สุดในขณะที่ประสิทธิภาพการใช้งานยังคงไหลลื่นอย่างต่อเนื่อง

“คนไทยไม่ได้มีความด้อยความสามารถกับต่างประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น และต่อไปในอนาคต หากใครไม่ลงทุนในด้าน Experience ก็อาจจะเรียกว่า Out of the world ได้เลย ซึ่ง Bluebik มีการลงทุนใน Experience Design และเราต้องการเป็นที่หนึ่งในเรื่องนี้” คุณสรณัญช์ กล่าว 

ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวกลเม็ดจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงอย่าง คุณปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ Chief Technology Officer แห่ง Bluebik และ คุณสรณัญช์ ชูฉัตร Chief Experience Office แห่ง Bluebik ที่มีความพร้อมสนับสนุนองค์กรที่ต้องการพัฒนา Large-Scale Application ได้แบบ End-To-End ทั้งประสบการณ์การพัฒนาระบบมาแล้วหลากหลายรูปแบบ ที่สามารถให้บริการผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลได้อย่างราบรื่นในหลากหลายโครงการ

เพราะอนาคตผู้ใช้งานและข้อมูลในโลกดิจิทัลจะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ การวางโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมและ Design System ที่ยืดหยุ่น จะช่วยสนับสนุนให้องค์กรสามารถสร้าง Large-Scale Application ได้สำเร็จ ซึ่ง Bluebik คือทีมงานผู้เชี่ยวชาญในระดับองค์กรที่พร้อมสนับสนุนได้อย่างในทุกขั้นตอนการพัฒนาอย่างครอบคลุม

สำหรับองค์กรที่ต้องการพัฒนา Large-Scale Application ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม สามารถปรึกษาทาง Bluebik ได้ในกระบวนการ โดยสามารถติดต่อได้ที่อีเมล: hello@bluebik.com หรือโทร  02-636-7011

About chatchai

Tech Writer แห่ง TechTalk Thai ที่สนใจในทุกนวัตกรรมและเทคโนโลยี

Check Also

Google Workspace เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ AI มัลติโมดอลใหม่ ช่วยทำงานให้โดยอัตโนมัติ

Google กำลังเพิ่มฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ใหม่ให้กับ Google Workspace เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนอีเมล แปลงสไลด์โชว์เป็นวิดีโอ และทำงานอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

Google เปิดตัว Google AI Ultra แพ็คเกจสมาชิก AI ระดับสูงสุดในราคา $249.99 ต่อเดือน

Google ประกาศเปิดตัว Google AI Ultra แพ็คเกจสมาชิกใหม่ล่าสุดที่มอบสิทธิการเข้าถึงโมเดล AI ที่ทรงพลังที่สุดและฟีเจอร์พรีเมียมในราคา $249.99 ต่อเดือน พร้อมโปรโมชั่นลด 50% สำหรับผู้ใช้งานใหม่ในช่วง 3 เดือนแรก