Microsoft Azure by Ingram Micro (Thailand)

INET กับทิศทางใหม่สู่การเป็นผู้ให้บริการ ID Platform ในไทย พร้อมเปิดให้บริการ AI และ Blockchain บน Cloud

เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา ทางทีมงาน TechTalkThai มีโอกาสได้ไปร่วมงานสัมมนา Transforming and Innovating with Disruptive Technology ซึ่งจัดโดย INET, Computer Union และ IBM เพื่ออัปเดตเกี่ยวกับทิศทางของการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI, Blockchain และอื่นๆ มาใช้ในธุรกิจไทยในปัจจุบันและอนาคต ทางทีมงานของ TechTalkThai เห็นว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ จึงขอนำเนื้อหามาสรุปดังนี้ครับ

 

ทิศทางใหม่ของ INET: จากผู้บริการ Infrastructure-as-a-Service สู่การเป็นผู้สร้าง Platform เพื่อให้ธุรกิจไทยต่อยอดได้ในอนาคต

 

 

คุณวัลล์ชัย เวชชีวะดำรงค์ ผู้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการINET ได้มาให้สัมภาษณ์กับทีมงาน TechTalkThai ในงานครั้งนี้ ถึงทิศทางในอนาคตของ INET ที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตค่อนข้างมากทีเดียว

ในช่วง 2-3 ปีทีผ่านมานี้ เราอาจได้เห็นภาพของ INET ที่รุกหนักด้านบริการ Cloud ในเมืองไทยเป็นอย่างมาก ด้วยกลยุทธ์ของการนำทรัพยากรต่างๆ ที่ INET มี ไม่ว่าจะเป็น Data Center หรือบริการ Internet สำหรับธุรกิจองค์กรมาต่อยอดเสริมให้บริการ Cloud สามารถเติมเต็มความต้องการของธุรกิจได้อย่างครบวงจร

อย่างไรก็ดี ในระหว่าง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ INET เองก็ได้วางกลยุทธ์เผื่อสำหรับอนาคตด้วย โดยการตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้ให้บริการด้าน Platform สำหรับภาครัฐ, ธุรกิจ และประชาชนในประเทศไทย เพื่อให้สุดท้ายแล้วการทำธุรกรรมหรือสิ่งต่างๆ ระหว่าง 3 ภาคส่วนนี้สามารถเกิดขึ้นจริงได้ และสร้างประโยชน์แก่ทุกฝ่ายในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรมต่างๆ ทั้งกับภาครัฐและภาคธุรกิจ, การที่ภาครัฐสามารถเปิดให้บริการใหม่ๆ และประสานไปยังภาคเอกชนหรือประชาชนได้ง่าย, การที่ภาคธุรกิจสามารถขยายฐานธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและผสานบริการต่างๆ เข้ากับภาครัฐ ไปจนถึงการที่ประชาชานเองมีสิทธิ์ในการควบคุมและจัดการการเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้อย่างเบ็ดเสร็จ เรียกได้ว่าทุกคนจะสามารถสร้างและเข้าถึง Digital Solution อันหลากหลายได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ทิศทางใหม่นี้ถือเป็นแผนการที่ใหญ่ไม่น้อยแต่ก็น่าจับตามองดีทีเดียวสำหรับ INET ที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านระบบ IT มาโดยตลอด และ Platform เองนี้ก็จะกลายเป็นอีกโครงสร้างพื้นฐานที่เหล่า Application แห่งอนาคตจะขาดไปไม่ได้เช่นกัน

 

INET One Platform: บริการ Trusted ID ที่มี Application เป็นส่วนเสริมต่อยอด

โครงการ ID Platform ของ INET นี้ถูกตั้งชื่อว่า INET One Platform ซึ่งเป็นระบบที่เกิดขึ้นจากการนำ Open Source Software มาปรับแต่งการทำงานให้ตรงตามการออกแบบของระบบต่างๆ โดยปัจจุบันนี้ภายใต้ INET One Platform ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระบบหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่

 

  • Trusted ID บริการข้อมูลตัวตนของผู้ใช้งาน
  • Trusted Collaboration บริการ Chat และ Email ที่ผูกเข้ากับ Trusted ID
  • Trusted E-Document บริการเอกสารข้อมูลต่างๆ ที่ผูกเข้ากับ Trusted ID เช่น เอกสาร E-Tax Invoice สำหรับการออกใบกำกับภาษี, เอกสาร E-Transcript สำหรับรับรองการศึกษาจบจากมหาวิทยาลัย, เอกสาร E-Certificate สำหรับยืนยันทักษะการเข้าอบรมทดสอบด้านต่างๆ และอื่นๆ ที่จะเปิดตัวเพิ่มเติมในอนาคต
  • Trusted Authentication บริการระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน

สิ่งที่ INET ต้องการนั้นคือการทำให้ประชาชนคนไทยเข้ามาเริ่มต้นมีตัวตนบนระบบ INET One Platform ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จำนวนผู้ใช้งานระบบ Trusted ID จะได้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยการพัฒนา Application รายรอบต่างๆ อย่าง Trusted Collaboration หรือ Trusted E-Document เข้ามาดึงดูดให้เกิดการใช้งานในระบบดังกล่าว ด้วยการร่วมมือกับภาครัฐเพื่อเปิดบริการต่างๆ เหล่านี้ให้เจ้าหน้าที่รัฐเริ่มต้นใช้งานได้ฟรี และนำไปเปิดให้บริการต่อสู่ภาคประชาชนหรือภาคธุรกิจผ่านทางหน่วยงานรัฐ ทำให้เกิดการใช้งานจริงของระบบ และทำให้ระบบเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการชักชวนกันมาใช้บริการฟรีเพื่อให้สามารถทำงานต่างๆ ร่วมกันได้ง่ายขึ้น

Platform ลักษณะนี้เองก็มีความคล้ายคลึงกับบริการชั้นนำอย่าง Google หรือ Facebook ที่ต้องมี Application หรือข้อมูลเป็นตัวดึงดูดให้ผู้ใช้งานอยากเข้ามาใช้งาน และเมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมากขึ้นแล้ว ก็จะสามารถพัฒนาระบบต่างๆ ต่อยอดขึ้นมาให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างได้ง่าย ซึ่งนี่ก็คือภาพปลายทางที่ INET ต้องการให้เกิดขึ้นนั่นเอง

จุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ INET One Platform เหนือกว่าบริการด้าน ID อื่นๆ ที่มีอยู่แล้วก็คือ การที่ข้อมูล ID ทั้งหมดนั้นถูกเก็บอยู่ในประเทศไทย ทำให้ประชาชนคนไทยเป็นเจ้าของข้อมูลและจัดการควบคุมข้อมูลของตนเองได้ และมีโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อยอดขึ้นมาในไทยเองได้ด้วยอีกทางหนึ่ง และการที่เป็นระบบ ID ซึ่งได้รับการยอมรับจากภาครัฐของเมืองไทย ทำให้สามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมหรือเชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ของภาครัฐได้โดยตรง และประโยชน์ตรงนี้เองก็จะดึงดูดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมใช้งาน และสร้างธุรกรรมหรือบริการระหว่างกันได้ง่ายขึ้นด้วยในอนาคต

 

“Open” กลยุทธ์ระยะยาวของ INET ในการผลักดันเทคโนโลยีสัญชาติไทย

อีกหนึ่งประเด็นที่ INET ให้ความสำคัญมากขึ้นในระยะหลังนี้ก็คือเรื่องของการเปิดกว้างของเทคโนโลยีที่จะทำให้บริการต่างๆ ของ INET สามารถนำไปต่อยอดได้ โดยนอกจากการที่ INET เองนั้นเลือกใช้เทคโนโลยี Open Source Software มาให้บริการเพื่อให้สามารถปรับแต่งและเชื่อมต่อระบบต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่นแล้ว เทคโนโลยี INET One Platform เองก็จะถูกเปิดให้มีภาครัฐและเอกชนเข้ามาพัฒนาระบบ Application ต่างๆ ต่อยอดได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ INET เองก็ได้เริ่มเปิดและทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนแล้วมากมาย

 

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา INET ได้มีการขยายบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบริษัทลูกเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะทาง, และการจับมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่างๆ เปิดบริษัทด้วยกัน ไปจนถึงการลงทุนในบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันเพื่อขยายตลาดให้ INET มีผลิตภัณฑ์และบริการมากขึ้น และนำเทคโนโลยี INET One Platform ไปใช้ต่อยอดมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน INET มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในบริษัทเหล่านี้หลากหลายแขนง ครอบคลุมทั้ง AI, Machine Learning. Big Data, Blockchain, IoT, Drone และอื่นๆ อีกมากมาย เสริมจากจุดแข็งเดิมของ INET ที่เป็นผู้ให้บริการ Cloud, Data Center และ Internet

 

นำเทคโนโลยีจาก IBM Cloud สู่เมืองไทย พร้อมให้บริการ AI และ Blockchain อย่างครบวงจรในไทยแล้ว

ในงานครั้งนี้ทาง INET ได้ประกาศถึงอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ ก็คือความร่วมมือระหว่าง INET และ IBM ที่จะนำเทคโนโลยีต่างๆ บน IBM Cloud มาเปิดให้บริการใน INET Cloud เป็นอีกทางเลือกของเหล่าภาครัฐและเอกชนไทยให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีจากบริการ Cloud ชั้นนำระดับโลกได้ โดยที่ข้อมูลและการประมวลผลทั้งหมดยังคงเกิดขึ้นในไทย

 

 

INET เลือกที่จะร่วมมือกับ IBM ในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะทีมงานของ IBM Thailand ที่ต้องการเข้ามาช่วยผลักดันให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตได้ด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคต ด้วยการผลักดันประเทศไทยเองมีธุรกิจที่ให้บริการด้าน Infrastructure พื้นฐานสำหรับเทคโนโลยีเหล่านั้น ไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ในต่างประเทศเพียงอย่างเดียว อีกทั้งเทคโนโลยีของ IBM เองก็ถือว่าน่าเชื่อถือ และใช้งานได้ในทุกระดับตั้งแต่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ลงมาจนถึงธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้การร่วมมือกับ IBM ในครั้งนี้จะสามารถตอบโจทย์ของกลุ่มธุรกิจได้อย่างหลากหลาย

ในความร่วมมือครั้งนี้ INET ได้ลงทุนเทคโนโลยี IT Infrastructure จาก IBM เพื่อเปิดบริการหลักๆ ด้วยกัน 2 ส่วน ได้แก่

  • AI โดยใช้ IBM PowerAI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง IBM Watson มาเปิดให้บริการในไทยโดยตรง ทำให้การทำ Machine Learning และ Deep Learning เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจต่างๆ สามารถทำได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลกับประเด็นด้านการโยกย้ายข้อมูลข้ามประเทศเหมือนกับแต่ก่อน
  • Blockchain โดยใช้ IBM Blockchain ซึ่งต่อยอดมาจาก Hyperledger มาเปิดให้บริการในไทยบน IBM LinuxONE ระบบ Hardware มาตรฐานสูงสำหรับงานระดับการเงิน ทำให้ธุรกิจไทยสามารถสร้าง Blockchain Network และเปิด Node เพิ่มเพื่อใช้งานร่วมกันใน Supply Chain หรือ Community ได้

แน่นอนว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะไม่ได้มาแต่เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ IBM ยังพร้อมที่จะร่วมมือกับ INET เพื่อให้ความรู้แก่ทุกภาคอุตสาหกรรมและช่วยพัฒนาระบบทดลองเพื่อให้เหล่าธุรกิจไทยได้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี AI และ Blockchain ก่อนจะนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างมั่นใจ

สำหรับในอนาคต INET เองก็มีแผนที่จะขยายความร่วมมือลักษณะนี้กับ IBM เพิ่มเติมเพื่อเปิดบริการในกลุ่มอื่นๆ อีกต่อไป

 

ผลักดันอุตสาหกรรมไทย สร้างชุมชนแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีในแต่ละวงการ

ประเด็นสุดท้ายที่ถือว่าน่าสนใจมากจากการพูดคุยกับทีมงานของ INET ในครั้งนี้ INET จะกลายเป็นผู้นำที่จะทำให้เหล่าธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ นั้นเกิดความร่วมมือในการแบ่งปันความรู้ด้านเทคโนโลยีระหว่างกันในลักษณะชุมชน เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตร่วมกันได้อย่างเข้มแข็งและแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติได้อย่างยั่งยืน

ชุมชนแลกเปลี่ยนความรู้นี้ครอบคลุมทุกเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น AI, Big Data, Blockchain, IoT และอื่นๆ แต่จะแบ่งเป็นรายอุตสาหกรรม เพราะแต่ละอุตสาหกรรมนั้นก็จะมีกรณีการใช้งานที่แตกต่างกันไป เช่น การทำ AI และ IoT สำหรับเหล่าภาคการเกษตรที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถลดต้นทุนและมีกำไรเพิ่มขึ้นได้, โรงพยาบาลที่นำ IoT มาช่วยให้การรักษาผู้ป่วยมีข้อมูลมากยิ่งขึ้น, ธุรกิจภาคการผลิตที่นำ Big Data และ IoT มาใช้ร่วมกันในสายการผลิต หรือการสร้าง Blockchain Network สำหรับ Supply Chain ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหลายธุรกิจและหลายอุตสาหกรรม เป็นต้น

INET เชื่อว่าการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ นี้ไปด้วยกันจะทำให้ธุรกิจไทยเริ่มก้าวสู่การทำ Digital Transformation ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจไทยกล้าที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ต่างประเทศต้องเป็นผู้นำเทคโนโลยีมาขายเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา

 

สำหรับผู้ที่สนใจในบริการ INET Cloud, INET Data Center หรือบริการ One Platform, AI, Blockchain, IoT จาก INET และอยากติดต่อเพื่อให้มานำเสนอเทคโนโลยี, เสนอราคา หรือทดลองใช้งานจริง สามารถติดต่อทีมงาน INET ได้ทันทีที่โทร 022577000เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ หรืออีเมล์ info@inet.co.th

About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

ผสาน Automation และ Intelligence เข้าไปยังความสามารถของงานด้านการผลิต โดย Infor

การนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้งานในธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และแต่ละอุตสาหกรรมก็มีความท้าทายเฉพาะตัวที่ต้องเผชิญหน้า ในอุตสาหกรรมการผลิตเองก็เช่นกันที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความต้องการของลูกค้า Supply Chain และอื่นๆ 

Cisco ปิดดีลเข้าซื้อ Splunk มูลค่า 1 ล้านล้านบาท

หลังจากผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจนได้รับอนุมัติเรียบร้อย ล่าสุดทาง Cisco ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการของ Splunk ที่มูลค่า 28,000 ล้านเหรียญหรือราวๆ 1 ล้านล้านบาทอย่างเป็นทางการแล้ว