ตั้งแต่คำว่าคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เรื่องของ “ระบบเครือข่ายหรือเน็ตเวิร์ก (Network)” ในระบบไอทีก็ได้กลายเป็นแกนหลักขององค์กรธุรกิจชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกองค์กรจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) สถาปัตยกรรม (Architecture) ของระบบเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสอดรับกับความต้องการใช้งานในหลากหลายกรณี และมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ HPE Aruba Networking บริษัทผู้นำด้านเครือข่ายครบวงจร อรูบ้าเป็นหนึ่งในเครือบริษัทฮิวเลตต์แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้จัดงาน “HPE Aruba Networking Partner Day’23 – Network Modernization” ที่มีการอัปเดตทั้งเทรนด์อุตสาหกรรมของระบบเครือข่าย รวมทั้งโซลูชันใหม่ ๆ และทิศทางที่จะเดินต่อไปในปี 2023 เพื่อตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ อาทิ Hybrid Work, Cloud Management หรือเรื่อง Zero Trust เพื่อความมั่นคงปลอดภัย (Security) สิ่งที่ HPE Aruba Networking มองเห็นและกำลังจะเดินต่อไปนั้นมีอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ
“Network Modernization” ต้องทำเพื่อตอบโจทย์ความต้องการยุคใหม่
หลังจากที่โลกเข้าสู่ยุคการทำ Digital Transformation ระบบต่าง ๆ ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการดิจิทัลมากขึ้น รวมไปถีง Infrastructure ของหลาย ๆ องค์กรได้ปรับเข้าสู่ยุคของ Cloud-First เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงการทำงานในรูปแบบที่เปลี่ยนไปเป็นลักษณะ Hybrid Work มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจำนวนแรงงานมนุษย์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในสำนักงานได้อย่างมาก แต่ความต้องการในเรื่องเน็ตเวิร์กและ Infrastructure ขององค์กรสำหรับการทำงานยุคใหม่นั้นกลับมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับการทำงานด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขนาดข้อมูลที่ส่งต่อไปมาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และเรื่องของ Security ที่ต้องคำนึงถึงในทุกจุด
เพื่อทำให้ประสบการณ์การทำงานส่วนบุคคลของผู้ใช้ (Personalized Experience) ยังคงมีประสิทธิภาพ (Efficiency) ราบรื่นได้เช่นเดิม เรื่องของ Network Modernization จึงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาเพื่อทำให้องค์กรมี Infrastructure ที่ทันสมัยมากขึ้น ทั้งเรื่องของระบบ Automation ที่สามารถจัดการระบบเน็ตเวิร์กได้อัตโนมัติมากขึ้น การเพิ่ม Security เข้าไปในทุกจุด และการทำให้แพลตฟอร์มของเน็ตเวิร์กมีความยืดหยุ่น ขยาย รองรับการเติมโตของธุรกิจได้ง่าย เพื่อรองรับความต้องการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างฉับไว ส่งผลให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
แนวคิดและทิศทางของ HPE Aruba Networking ในอนาคต
ภายในงาน คุณประคุณ เลาหกิตติกุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของบริษัทอรูบ้า หนึ่งในบริษัทของฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ ได้กล่าวชัดเจนว่าสิ่งที่ HPE Aruba Networking กำลังทำอยู่นั้น คือการทำให้เรื่องเน็ตเวิร์กเป็นเสมือน “แพลตฟอร์ม (Platform)” ที่จะเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ต่อไปในอนาคตที่จะต่อยอดเป็นบริการใหม่ ๆ ไปได้อีกมากมายหลายสิ่ง
จากแนวคิดดังกล่าว จึงที่มาของ “Edge Service Platform (ESP)” โซลูชันแพลตฟอร์มเน็ตเวิร์กที่ทาง Aruba จะช่วยให้องค์กรสามารถทำเรื่อง Network Modernization ได้อย่างรวดเร็ว ผ่านหลักการแนวคิด 3 ข้อได้แก่
- Unified Infrastructure หนี่งใน Aruba Edge Service Platform ที่จะทำให้ระบบโครงข่ายของคุณเป็นหนี่งเดียวกันทั้งแบบมีสาย ไร้สาย สาขา และ ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ทุกโซลูชันสามารถบริหารจัดการได้ในจุดเดียว เพื่อให้บริหารจัดการทุกอย่างได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว
- Zero Trust การรักษาความมั่นคงความปลอดภัยของระบบเครือข่ายแบบ Zero Trust เป็นการผนึกรวมความสามารถทางด้าน Securities ของ Aruba เข้าด้วยกัน คือ การให้สิทธิการเข้าถึงตามบทบาท, การแยกส่วนระบบเครือข่ายแบบอัจฉริยะ และการตรวจจับการบุกรุกโดยระบุตัวตน
- AIOps ผสานข้อมูลระบบเครือข่ายเข้ากับเทคโนโลยี AI และ Cloud เปลี่ยนระบบเครือข่ายสู่การดูแลรักษาแบบอัตโนมัติอย่างเต็มตัว
ก้าวถัดไปของ HPE Aruba Networking แห่งปี 2023
จากหลักการแนวคิด ESP ดังกล่าวข้างต้น ปีนี้ HPE Aruba Networking ได้มีโซลูชันและผลิตภัณฑ์ที่สอดรับกับแนวคิดและทิศทางที่จะเดินไป ดังต่อไปนี้
“Aruba Central” โซลูชันแบบ Cloud-based ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการ และติดตามการทำงานของระบบ IT ทั้งในส่วนของระบบเครือข่ายมีสายและไร้สายพร้อม กันได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ
โซลูชันระบบเครือข่ายแห่งอนาคตนั้นกำลังจะไปในระบบ Cloud ด้วยเช่นกัน และแพลตฟอร์มเน็ตเวิร์กรวมศูนย์ Aruba Central นั้นเป็นโซลูชันศูนย์กลางที่ช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการเครือข่ายและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมดภายในที่เดียวผ่าน Cloud โดยหลังจากเอาอุปกรณ์ทั้งหลายไปติดตั้งที่แคมปัสหรือสาขาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเชื่อมโยงเห็นกันได้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าองค์กรจะเลือกใช้อุปกรณ์แบบมีสาย ไร้สาย IoT หรือ SD-WAN ใด ๆ ก็ตาม สามารถเชื่อมต่อและ Authentication เพื่อเข้ามาบริหารจัดการผ่าน Aruba Central ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมกันนี้ยังมีโซลูชัน AI ที่ชาญฉลาด ที่ช่วยทำในหลาย ๆ เรื่องให้ได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้ผู้ดูแลระบบและเครือข่ายขององค์กรทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้นกว่าเดิม แถมยังมีความปลอดภัยมากขึ้น และมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นกว่าเดิม
“Wi-Fi 6E” Access Point ยุคถัดไปเสริมประสบการณ์ WiFi ให้ไหลลื่น เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่มากด้วยประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ
WiFi 6E คือเทคโนโลยีของ WiFi ที่จะมีย่านคลื่นความถี่ 6 GHz แยกออกมาโดยมีขนาดช่องสัญญาณใหญ่กว่า 2.4 GHz และ 5 GHz อย่างมหาศาล ซึ่ง WiFi 6E นั้นกำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยปัจจุบันทาง กสทช.กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับการอนุมัติให้ใช้งานได้ในเร็ววันนี้
การมาถึงของ WiFi 6E จะทำให้ประสบการณ์การใช้งาน WiFi ในทุกที่มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น สามารถรับโหลดข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้นได้ รวมทั้งเรื่องสัญญาณกวนกับอุปกรณ์ที่ใช้ย่านความถี่อื่น ๆ จะลดลงไปอีกด้วย ซึ่งทาง Aruba ได้มีอุปกรณ์ Access Point ที่พร้อมให้บริการ WiFi 6E แล้วในหลาย ๆ รุ่น โดย Access Point ในรุ่น 6xx Series จะมีเป็น WiFi 6E พร้อม GPS ในตัว ส่วน 5xx Series นั้นจะมีแค่ WiFi 6 เท่านั้น ซึ่ง Access Point จากทาง Aruba ในทุก Series มีให้เลือกบริหารจัดการผ่าน Cloud หรือ On-Premises ได้ทั้งสองรูปแบบ
“Aruba CX 10000 พร้อม Pensando” นวัตกรรมใหม่แห่งโลก DATA CENTER NETWORKING รวมถึง Security ที่ลึกถึงระดับ VM ใน Data Center
เรื่องเน็ตเวิร์กภายใน Data Center คืออีกสิ่งที่ทุกองค์กรต้องพิจารณา เพราะปัจจุบันการ Digital Transformation ได้ทำให้เกิดบริการรูปแบบใหม่ ๆ รวมทั้งเทรนด์การพัฒนาแอปพลิเคชันและให้บริการนั้นเปลี่ยนแปลงไป การใช้ Virtual Machine (VM) หรือ Container มีจำนวนมากขึ้น การสื่อสาร (Traffic) กันไปมาภายใน Data Center ก็เยอะขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้ทุกองค์กรจำเป็นต้องพิจารณาในเรื่อง Security ภายใน Data Center ที่ไม่ใช่ระดับ Server อีกต่อไป หากแต่ต้องพิจารณาในระดับที่ลึกขึ้นหรือระดับ VM
สิ่งนี้ Aruba เรียกการจัดการ Security ระดับ VM ว่าเป็นการทำ “Micro Segmentation” ที่จะสามารถกำหนด Policy ของเน็ตเวิร์กได้ในระดับ VM ด้วย “Aruba CX 10000 Switch” ที่มาพร้อมกับ AMD Pensando ซึ่งมี เทคโนโลยี Data Processing Unit (DPU) อยู่ภายใน ทำให้ Switch มีขีดความสามารถในทำ Software-Defined Stateful Service ทำ East-West Firewall, NAT, Encryption หรือว่า Telemetry ได้ภายในตัวอุปกรณ์เดียว ส่งผลให้องค์กรสามารถสร้าง Data Center ได้ในราคาที่ถูกลง ประหยัดเนื้อที่มากขึ้น ที่สามารถประมวลผลทราฟฟิกได้ด้วยความเร็วในระดับ 800G พร้อมทั้งมี Single Dashboard ผ่าน Aruba Fabric Composer
“EdgeConnect” SD-WAN ประสิทธิภาพสูงขึ้น
การทำงานยุคใหม่ที่ทุกแห่งใช้บริการเครื่องมือ Software-as-a-Service (SaaS) หรือ Cloud มากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ได้ส่งผลให้การจัดการเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานของสาขาต่าง ๆ ในองค์กรนั้นมีความซับซ้อนมากขึ้น การจัดการจำนวนเครื่องในปริมาณมหาศาลจากสาขาต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายในหลายที่หลายเงื่อนไขนั้นคือความท้าทายที่จะต้องทำให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานได้อย่างราบลื่นที่สุด ซึ่งการจัดการเน็ตเวิร์กในรูปแบบเก่า ๆ นั้นไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ Software-Defined Wide-Area Network (SD-WAN) จึงเป็นเทคโนโลยีที่มาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้สามารถบริหารจัดการเครือข่ายที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น และ “EdgeConnect” คือโซลูชันแพลตฟอร์ม SD-WAN ที่พร้อมให้บริการเพื่อตอบโจทย์ในทุกรูปแบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น Hub-Spoke, Mesh หรือ Topology ใด ๆ ก็สามารถปรับแต่ง (Configure) Policy ได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการ ทำให้เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างสาขาที่มีอยู่อย่างหลากหลายและซับซ้อนนั้นกลายเป็นเรื่องง่ายในทันทีไม่กี่คลิก หรือ Drag-and-Drop ผ่าน Business Intent Overlay
“Network-as-a-Service (NaaS)” บริการเช่าเครือข่ายรายเดือน หรืออีกความหมายคือ การเช่าใช้ระบบเครือข่ายทั้งหมดแบบ Subscription-based
ด้วยเทรนด์ Digital Transformation ที่เกิดขึ้น องค์กรธุรกิจเริ่มมองการใช้งานที่ Cloud มากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับยังมองเรื่องการลงทุนไปยัง CAPEX น้อยลง และมุ่งไปที่ค่า OPEX มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้มีพนักงานน้อยลงไป จึงเป็นไปได้อย่างมากที่อนาคตอันใกล้หลาย ๆ องค์กรอาจไม่มีคนมาบริหารจัดการอุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้งานตาม Data Center หรือตามสาขาได้อย่างเพียงพอ
เหตุนี้เอง Aruba จึงสร้างเป็นบริการที่เป็นแนวเดียวกันกับ HPE GreenLake นั่นคือบริการ “Network-as-a-Service” บริการเช่าใช้อุปกรณ์เครือข่ายต่าง ๆ โดยทำสัญญาเช่าใช้อุปกรณ์ 3-5 ปีแล้วชำระเงินค่าเช่าเป็นรายเดือนแทน ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยจำนวนเงินปริมาณมหาศาลตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งหากมีการต่อสัญญาเพิ่มยังสามารถทำ “Tech Refresh” อัปเกรดอุปกรณ์ให้กลายเป็นรุ่นใหม่ได้ด้วย และนอกจากเรื่องอุปกรณ์แล้ว ทาง Aruba ยังมีทีมงาน Customer Success ที่ช่วยสนับสนุนดูแลตอบคำถามและจัดทำรายงานให้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบริการลักษณะนี้ถือว่า Aruba เป็นเจ้าแรกที่เริ่มหลักการแนวคิดดังกล่าว และเชื่อว่าจะเติบโตมากขึ้นในอุตสาหกรรมเรื่อย ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้
บทส่งท้าย
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของแนวคิดและทิศทางที่กำลังจะก้าวต่อไปของ HPE Aruba Networking ในปีนี้ ซึ่งโซลูชัน และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้บริการอย่างหลากหลายนั้นจะสนับสนุนให้องค์กรมีเครือข่ายเน็ตเวิร์กที่แข็งแกร่งขึ้น ทันสมัยขึ้น และพร้อมรับกับการทำงานยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างลื่นไหล เพราะองค์กรสามารถ Network Modernization ปรับเปลี่ยนขยับขยายได้อย่างยืดหยุ่นและมั่นคงปลอดภัยแบบรวมศูนย์นั่นเอง
สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ โซลูชัน หรือบริการใด ๆ จากทาง HPE Aruba Networking สามารถติดได้ที่ บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด
- โทร : 02-032-9999
- Email : sukitta@vstecs.co.th, aruba.th@hpe.com
- Website : www.aruba-thai-partner.com