หนึ่งในปัญหาโลกแตกอย่างสัมภาระหายระหว่างเดินทาง กำลังจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยการนำ RFID มาใช้

Delta Air Lines สายการบินสัญชาติอเมริกัน ได้ประกาศลงทุน 50 ล้านเหรียญหรือราวๆ 1,750 ล้านบาทเพื่อนำเทคโนโลยี Radio-Frequency ID (RFID) มาใช้ในการติดตามสัมภาระของผู้โดยสาร เพื่อลดปริมาณสัมภาระหายให้น้อยลงไป
ปัจจุบันนี้สถิติความสำเร็จในการสแกน Barcode ที่ใช้ติดตามกระเป๋านั้นมีตัวเลขอยู่เพียง 90% เท่านั้น ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นปัญหาหลักที่ทำให้สัมภาระตกหล่นระหว่างเดินทาง และทาง Delta เชื่อว่าการนำ RFID เข้ามาใช้จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในส่วนนี้ให้กลายเป็น 99.85% ได้ โดยระบบ RFID นี้จะถูกนำไปใช้ติดตามสัมภาระทั้งในช่วงโหลดของขึ้นเครื่องบินและโหลดออกจากเครื่องบิน ซึ่งนอกจากจะทำให้ความแม่นยำในการติดตามสัมภาระสูงขึ้นแล้ว ความเร็วในการทำงานก็จะสูงขึ้นด้วย และช่วยลดความเสี่ยงที่เที่ยวบินจะต้องเลื่อนออกไป
ที่ผ่านมาจากสถิติของสหรัฐอเมริกาในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีกระเป๋าหาย 2.65 ใบจากผู้โดยสารทุกๆ 1,000 คน โดยสายการบินอันดับหนึ่งที่ทำกระเป๋าหายน้อยที่สุดต่อผู้โดยสาร 1,000 คนคือ Virgin America ที่ทำกระเป๋าหายเพียง 1.03 ใบ ตามมาด้วย Alaska Airlines ที่ 1.57 ใบ, JetBlue Airways 1.72 ใบ ในขณะที่ Delta Air Lines นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 1.83 ใบ
โครงการนี้จะครอบคลุมถึงสนามบิน 344 แห่งทั่วโลก และในอนาคต Delta ก็ยังตั้งใจว่าจะปรับปรุงต่อไปจนปริมาณสัมภาระสูญหายลดลงเหลือ 0% ให้ได้ ส่วนสายการบินอื่นเองนั้นก็เริ่มมีการนำ RFID มาใช้บ้างแล้วเช่นกัน