สรุปเนื้อหา Opening Session วิสัยทัศน์ของ Dell Technologies และ Dell EMC ในงาน Dell EMC World 2016 #DellEMCWorld

สำหรับงาน Dell EMC World 2016 ( #DellEMCWorld ) ที่กำลังจัดขึ้นอยู่ในตอนนี้ วันนี้ได้มี Opening Session เล่าวิสัยทัศน์จากเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ Dell Technologies และบริษัทในเครือ ซึ่งทางทีมงาน TechTalkThai ก็ขอสรุปให้ได้อ่านกันดังนี้นะครับ

 

Michael Dell, Chairman & Chief Executive Officer, Dell Technologies

dell_emc_world_michael_dell

Michael Dell ได้เล่าถึงสถานการณ์โลกเราในปัจจุบันวว่ามีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ กันมากถึง 8,000 ล้านชิ้นทั่วโลก และในปี 2031 ก็คาดว่าจะมีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ มากถึง 200,000 ล้านชิ้นด้วยกัน ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะทำการส่งข้อมูลไปยัง Application ต่างๆ และนำข้อมูลมาใช้สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ นี่คือโอกาสของคนในรุ่นเรา และเป็นโอกาสที่ใหญ่มาก

ต่อจากนั้น Michael Dell ก็ได้เล่าถึงแนวคิดนวัตกรรม 10 เท่า ที่เทคโนโลยีทุกๆ อย่างจะพัฒนาขึ้น 10 เท่าในทุกๆ 5 ปี ดังนั้น ในอีก 15 ปีถัดจากนี้หรือปี 2031 เราจะมีทุกอย่างที่เร็วกว่าทุกวันนี้ 1,000 เท่า Smart City, Driverless Car, Drone และอื่นๆ ที่เราไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นจริงก็จะเป็นจริงขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้ก็คือ Internet of Everything ที่จะทำให้โลกเราเกิด Industrial Revolution ครั้งใหม่ ที่จะเปลี่ยนทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต และการเล่นของเรา

ด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกของเรา การนำ Artificial Intelligence (AI), Machine Learning (ML) และ Unsupervised Learning เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น ก็จะช่วยสร้างองค์ความรู้และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับมนุษยชาติและแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ นี่เป็นยุคสมัยที่เรียกว่า Digital Dawn ซึ่ง Physical Reality จะเริ่มกลายเป็น Digital Reality แทน

จากการสำรวจเหล่า Executive 4,000 คนทั่วโลกนั้นก็พบว่า 45% นั้นกลัวว่าธุรกิจที่ดำเนินอยู่จะตกยุคภายในปี 3-5 ปี และ 48% ไม่รู้ว่าธุรกิจตัวเองจะเป็นอย่างไรในอีก 3 ปี ในขณะที่ 78% คิดว่าบริษัท Startup นั้นเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของตน จะเห็นได้ว่าทุกคนนั้นกำลังกังวลกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ แต่อย่างไรก็ดี โลกจะหมุนต่อไปโดยไม่สนใจธุรกิจที่ตามไม่ทันโลก ซึ่งตรงนี้เองที่ Dell Technologies จะเข้ามาช่วยธุรกิจให้สามารถก้าวไปสู่การเป็น Digital Business ให้ได้สำเร็จ โดยภายใน Dell Technologies ก็จะประกอบไปด้วยธุรกิจในเครืออย่าง Dell, Dell EMC, Pivotal, RSA, SecureWorks, Virtustream และ VMware ที่จะมาช่วยให้การทำ Digital Transformation สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

dell_emc_world_dell_technologies_family

หลังจากการเข้าซื้อกิจการของ EMC แล้วเสร็จ ปัจจุบัน Dell Technologies ก็ได้กลายเป็นที่ 1 ในหลากหลายเทคโนโลยีระดับองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Servers, Storage, Virtualization, Security, Cloud Software & Infrastructure, Software-Defined Data Center, Converged & Hyper-Converged Infrastructure และ Platform-as-a-Service โดยถือครองสิทธิบัตรจำนวนมากกว่า 20,000 ฉบับ และมีงบประมาณสำหรับการทำ Research & Development ในแต่ละปีสูงถึง 4,500 ล้านเหรียญ สูงกว่างบของคู่แข่งรายใหญ่ในปีหน้าถึง 2 เท่า รวมถึงยังมี Supply Chain ที่ดีที่สุดซึ่งรองรับการให้บริการได้ทั่วโลกอีกด้วย

dell_emc_world_no_1

ปัจจุบัน Dell Technologies มี Partner ใหญ่ที่สุดในโลก และมีลูกค้าเกินกว่า 10 ล้านรายทั่วโลก

การเป็น Private Company ของ Dell Technologies นี้ก็ทำให้มีความคล่องตัวสูงและสามารถดำเนินธุรกิจได้ง่าย และมุ่งเป้าไปที่การดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะยาวได้ ต่างจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องคำนึงถึงผลกำไรเป็นหลัก เป็นอีกจุดแข็งหนึ่งของ Dell Technologies

หลังเข้าซื้อกิจการของ EMC เรียบร้อย ตอนนี้ Dell สามารถนำเสนอทุกโซลูชันให้กับลูกค้าทั่วโลกได้ด้วย Product Portfolio ขนาดใหญ่ที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกจำนวนมาก และมีทีมงานกว่า 60,000 คน 120,000 Certificate สนับสนุนใน 165 ประเทศทั่วโลก

ถ้าองค์กรไหนต้องการทำ Digital Transformation ทาง Dell Technologies ก็พร้อมช่วยเสมอ โดย Pivotal Cloud Foundry เป็นระบบที่ Dell Technologies จะใช้ในการช่วยเหล่าธุรกิจต่างๆ ในการก้าวเข้าสู่การทำ Digital Transformation ให้สามารถใช้ IT Infrastructure ใดๆ ก็ได้ทั้ง Cloud และ On-premises โดยไม่จำกัดว่าเป็นเทคโนโลยีของผู้ผลิตใด และจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเลือกใช้ IT Infrastructure ที่ดีที่สุดได้ และนอกจากนี้ถ้าหากองค์กรไหนต้องการทำ Cloud ทาง Dell EMC ก็มีเทคโนโลยีสำหรับตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วนทุกรูปแบบ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Flash, Scale Out และ Software Defined ก็สามารถทำให้องค์กรต่างๆ สามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดไปใช้ได้ทันที ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก, ธุรกิจขนาดใหญ่ หรือหน่วยงานรัฐบาลก็ตาม โดยการเลือก IT Infrastructure ที่ดีนั้นจะทำให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และนำเงินในส่วนนั้นไปสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้จึงมีความสำคัญมากทีเดียว

 

David Goulden, President, Infrastructure Solutions Group, Dell EMC

dell_emc_world_vxrail

David Goulden ได้เริ่มต้นจากการเสริมข้อมูลการสำรวจเหล่า Executive จำนวน 4,000 คนนอกเหนือจากที่ Michael Dell ได้นำเสนอไปแล้วอีกว่า 53% ของผู้ถูกสำรวจนั้นคาดหวังว่าจะเกิดการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมที่ตนทำงานอยู่ และ 92% เห็นว่าการเริ่มต้นก้าวไปสู่การเป็น Digital Business นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

มองย้อนกลับไป 15 ปีที่ผ่านมาเรามักจะใช้ IT ในการจัดการงานในฝั่ง Back Office เป็นหลักในการทำธุรกิจ แต่ 15 ปีถัดจากนี้ที่ทุกอย่างจะพัฒนาขึ้นนับพันเท่า IT จะเข้าไปอยู่ในทุกๆ อย่างและกลายเป็นธุรกิจในตัวเอง ซึ่งภาพนี้ก็คือ Digital Business นั่นเอง

ในแง่ของการลงทุน ตั้งแต่ปี 2000 – 2015 นั้นการลงทุนทางด้าน IT นั้นเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมากในระบบ IT Infrastructure แบบเดิมๆ แต่ถัดจากนี้ไปการลงทุนสำหรับ IT Infrastructure แบบเดิมๆ นั้นก็จะเข้าสู่ Optimization Mode และมีการลงทุนน้อยลงเรื่อยๆ เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อทำ Digital Transformation แทน และทำให้การลงทุนภาพรวมของ IT นั้นเติบโตยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

IT สำหรับองค์กรตอนนี้มีแบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ Traditional และ Cloud-Native โดย Traditional IT นั้นจะมีลักษณะแบบ Stateful, Scale Up, IT Centric ในขณะที่ Cloud-Native นั้นจะเป็นแบบ ScaleOut, Application Resiliency, DevOps Centric แทน ซึ่ง Dell EMC ก็มีเทคโนโลยีเพื่อรองรับการสร้าง IT Infrastructure ที่รองรับความต้องการเหล่านี้ได้อย่างครอบคลุม เป็นแนวคิดที่ Dell EMC ตั้งชื่อให้ว่า Modern IT

การรองรับ Modern IT ให้ได้ทั้ง On-premises และ Off-Premises นั้นคือรองรับ Hybrid Cloud และ Multi-Cloud ให้ได้ โดยปริมาณการใช้งานของทั้งสอง IT Infrastructure นี้อาจจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของ Workload ซึ่งการทำ Hybrid Cloud นั้นก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 24% เมื่อเทียบกับระบบ IT Infrastructure แบบเดิม รวมถึงสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการริเริ่มโครงการใหม่ๆ ได้ถึง 40% และจุดนี้ก็จะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างองค์กรที่ทำ Hybrid Cloud และไม่ทำ Hybrid Cloud อันจะส่งผลให้การก้าวไปสู่การเป็น Digital Business ได้สำเร็จนั้นมีอัตราความสสำเร็จที่ต่างกันถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น Traditional IT Infrastructure หรือ Cloud-Native IT Infrastructure ก็ตาม Dell EMC นั้นมี Engineered Solution เตรียมพร้อมให้องค์กรเริ่มต้นใช้งานเพื่อเป็นฐานแก่การทำ Hybrid Cloud ได้ทันทีทั้งแบบ On-premises และ Off-premises รวมถึงยังสามารถทำงานร่วมกับบริการ Cloud ชั้นนำจาก VMware, IBM, AWS, Microsoft และ Google ได้อีกด้วย

การมี Engineered Solution นี้จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้าง IT Infrastructure ที่ตนเองต้องการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการติดตั้งและใช้งาน ความต้องการเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาเป็นการเติบโตของ Converged Infrastructure ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง Dell EMC ก็มีโซลูชันต่างๆ สำหรับทั้ง Converged Infrastructure และ Hyper-Converged Infrastructure ดังนี้

  • Dell EMC VBlock/VxBlock ประกอบด้วย Cisco (Server/Network), Dell EMC (Storage) และ VMware (Virtualization)
  • Dell EMC VxRail ประกอบด้ววย Dell EMC (Server/Data Protection) และ VMware (Virtualization/Software-Defined Storage)
  • Dell EMC VxRack ประกอบด้วย Dell EMC (Server) โดยจะเป็น Hyper-Converged Infrastructure เอนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่รองรับได้ถึง 1,000 Node และ 10,000 VM ในระบบเดียว พร้อมระบบเครือข่ายภายในตัว
  • Dell EMC XC Series ประกอบด้วย Dell EMC (Server) และ Nutanix (Software-Defined Storage)

dell_emc_world_vxrack

การที่ Dell EMC สามารถนำเสนอโซลูชันนี้ได้อย่างมั่นใจ เพราะ Dell EMC นั้นเป็นอันดับ 1 ทางด้าน Converged, Storage, Server, Flash, SDS, Virtualization และ Data Protection ทำให้โซลูชันเหล่านี้เกิดจากการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาผสานกันนั่นเอง

ตอนนี้โลกเริ่มเปลี่ยนจากการใช้ Converged กลายเป็น Hyperconverged แทน โดยแนวคิดของการทำ Flash Server ที่ใช้ CPU ประสิทธิภาพสูงคู่กับ Flash มาทำ Scale-out ด้ววย Hyperconverged ผ่าน Software Defined Storage ก็เป็นอนาคตของ Data Center โดย Dell EMC VxRAIL จำนวน 3 Node ที่มีขนาดรวมกัน 3U นี้สามารถรองรับได้ถึง 200 VM ซึ่งหากเป็น 15 ปีที่แล้วก็ต้องใช้ Disk มากถึง 2,292 ลูกเลยทีเดียว และปัจจุบัน VxRAIL ก็รองรับการเพิ่มขยายได้ถึง 64 Node ทำให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลาย Workload

ส่วน Server นั้น Dell EMC ก็ยังครองความเป็นที่ 1 เอาไว้ได้ด้วย PowerEdge เช่นเคย

dell_emc_world_poweredge

สำหรับ Storage นั้น Dell EMC เชื่อว่า 1 size does not fit all และ Dell EMC ก็มี Storage หลากหลายให้ใช้งานได้ครบทุกความต้องการทั้งสำหรับ Traditional Storage และ Cloud-Native Storage สำหรับทั้ง On-premises และ Off-premises อย่างครบถ้วน โดยมีอัปเดตผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจดังนี้

  • Dell EMC VMAX 250F All Flash รุ่นใหม่ล่าสุด จุข้อมูลได้หลัก Petabyte และหลายล้าน IOPS
  • Dell EMC Unity รองรับ 400TB All Flash Raw Capacity และ Cloud Tiering
  • Dell EMC XtremIO ขายดีมาก และรองรับการทำ NAS ในตัวด้วย Dell FluidFS แล้ว
  • Dell EMC Data Domain เปิดตัวใหม่ 4 รุ่น มี Cloud Tiering และ Flash-enabled
  • Dell EMC Data Domain Virtual Edition (DD VE) รุ่นใหม่ รองรับความจุ 96TB ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถทำ Software Defined Data Protection ได้แล้ว
  • Dell EMC Compellent SC Series สามารถทำงานร่วมกับ PowerPath, ViPR, VPLEX, RecoverPoint และ Data Protection Suite ได้แล้ว
  • Dell EMC DSSD ผ่าน Benchmark สำหรับ Oracle, SAP และการทดสอบประสิทธิภาพอื่นๆ พร้อมใช้งานในองค์กรได้อย่างมั่นใจ
  • Dell EMC ScaleIO รองรับ Dell EMC PowerEdge Server แล้ว
  • Dell EMC Isilon รุ่น All Flash มี Throughput สูงขึ้น 10 เท่าเป็น 1.5TB/s, มี Density สูงขึ้น 10 เท่า, มีความจุได้ 100PB, ขยายได้เกินกว่า 400 Node
  • Dell EMC ECS รองรับ Dell EMC PowerEdge แล้ว ทำให้มีราคาถูกกว่าการเช่าใช้ Public Cloud 60% และสามารถตั้ง Dedicated ECS บน Virtustream ได้

dell_emc_world_storage

2 ประเด็นสำคัญที่ David Goulden ทิ้งท้ายเอาไว้ ก็คือการเปิดตัว OpenScale Flexible Payment Options ทั้งออปชั่นเดิมจาก Dell และจาก EMC และการที่ Dell EMC Services มีผู้เชี่ยวชาญและ Partner ทั่วโลกรวมกันถึง 60,000 ราย พร้อมให้บริการได้ทุกระดับ ซึ่ง Dell EMC ก็อยากเป็นผู้ช่วยให้องค์กรสามารถทำ Digital Transformation ได้สำเร็จต่อไปนั่นเอง

 

Jeff Clarke, Vice-chairman of Operations and President of Client Solutions for Dell & Frank Azor, Co-founder, Alienware

ประเด็นแรกที่ Jeff Clarke นำมาพูดถึงก่อนเลยก็คือ Workforce Transformation รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป จำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งานก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และองค์กรก็ต้องรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ทัน ซึ่งเทคโนโลยีเองก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ดึงดูดเหล่าพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาได้

อย่างไรก็ดีความปลอดภัยนั้นก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ โดยจากผลสำรวจนั้นพบว่า 95% ของ Breach เกิดจากการโจมตีเข้ามาทาง Edge Device และ 45% ขององค์กรเองก็เกิดเหตุ Data Breach ใน 24 เดือนที่ผ่านมา ประเด็นเหล่านี้ถือว่าสำคัญมากในการที่จะเปลี่ยนการทำงานให้เป็นแบบใหม่ได้อย่างปลอดภัย การรวมบริษัทกันครั้งนี้ระหว่าง Dell และ EMC ทำให้ Dell EMC มีทั้ง Dell, Mozy, VMware AirWatch และ RSA มาช่วยกันปกป้องผู้ใช้งานและการทำธุรกิจให้ปลอดภัยจากการโจมตี Mozy จะแบ็คอัพ, RSA ตรวจจับการโจมตีและยืนยันตัวตน AirWatch บริหารจัดการ ทำให้ Endpoint Security ครบภาพแล้วสำหรับโซลูชันจาก Dell

ถัดจากนั้น Frank Azor ก็ได้มาเล่าถึงทิศทางของ Alienware ที่จะก้าวไปสู่การเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พลังประมวลผลสูงเพื่อรองรับการมาของ Virtual Reality (VR) โดยตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการนำ VR มาใช้ในการฝึกอบรมพนักงานโดยไม่ต้องใช้ Hardware หรือเครื่องจักรจริงอีกต่อไป ลองดูตัวอย่างได้ที่ https://www.esi-group.com/software-solutions/virtual-reality/icido นะครับ

 

ก็ขอจบการสรุปเนื้อหาเพียงเท่านี้ครับ มีบางส่วนที่ข้ามไปเหมือนกัน ใครที่สนใจก็สามารถติดตามดูคลิปย้อนหลังและ Live สดได้ที่ http://dellemcworld.com/live/stream นะครับ


About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

รีวิว : Acer Swift Go 14 แล็ปท็อปเพื่อธุรกิจที่ความคล่องตัว ขับเคลื่อนด้วย Intel Core i7 เจนเนอเรชัน 13 รุ่นล่าสุด

Acer Swift Go 14 จะเข้ามาเป็นคู่หูที่รู้ใจให้การทำงานในรูปแบบ Working from Anywhere มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ด้วยความบางเพียง 14.9 มม. มีน้ำหนักเบาถึง 1.25 กก. …

ขอเชิญร่วมงานสัมมนา THROUGHWAVE DIGITAL CONNECT 2023 [14 มิ.ย. 2023 – 13.00น. ณ Eastin Grand Sathorn Hotel]

Throughwave (Thailand) ขอเรียนเชิญ CIO, CTO, Digital Transformation Manager, IT Manager, IT Administrator, พันธมิตรของ Throughwave และผู้ที่สนใจทุกท่าน เข้าร่วมงานสัมมนาประจำปี “Throughwave – Digital Connect 2023” ในวันที่ 14 มิถุนายน 2023 เวลา 13.00น. เป็นต้นไป ณ โรงแรม Eastin Grand Sathorn Hotel