สรุปงาน Veritas Tech Symposium 2019 : บริหารจัดการความซับซ้อนของข้อมูลด้วย Veritas Enterprise Data Service Platform (A P I)

การก้าวกระโดดของเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องดีกับโลก เพียงแต่สิ่งเบื้องหลังที่อยู่เบื้องหลังและเป็นภาระขององค์กรตามมาก็คือทำอย่างไรจึงจะสามารถจัดการข้อมูลที่เกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยีจำนวนมากและซับซ้อนเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ของการปกป้องข้อมูลสำคัญให้รอดพ้นจากภัยคุกคามหรือในภาวะภัยพิบัติ รวมถึงกฏหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวที่ถือกำเนิดขึ้น เช่น GDPR หรือ PDPA ของไทยเอง ด้วยเหตุนี้เอง Veritas จึงจัดงานใหญ่ประจำปีขึ้นภายใต้ชื่อ “Veritas Tech Symposium 2019” ในวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยภายในงานได้พูดถึงคอนเซปต์ Veritas Enterprise Data Service Platform ซึ่งประกอบไปด้วย (A)vilability (P)rotection และ (I)nsights ที่ Veritas จะเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด เราจึงขอสรุปสาระสำคัญทั้งหมดของงานมาให้ทุกท่านได้ติดตามกันครับ

คุณ Pramut Sriwichian ผู้จัดการอวุโสของประเทศไทยและอินโดจีนของบริษัท

การที่องค์กรจะ Transform ตัวเองได้สำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องครอบคลุมทั้ง คน กระบวนการ เทคโนโลยี การสื่อสารและวัฒนธรรมขององค์กรไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามหัวใจสำคัญของยุคนี้คือองค์กรต้องสามารถนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย แต่องค์กรต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสม ด้วยความเข้าใจและกระบวนการที่ถูกต้องด้วย ซึ่งสิ่งที่องค์กรต้องการคือเครื่องมือเดียวที่จะสามารถจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งที่มาได้ ซึ่ง Veritas เองจะเป็นส่วนเติมเต็มความต้องการขององค์กรที่สามารถช่วยนำองค์กรก้าวทันยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าที่เคย” นี่คำกล่าวสาระสำคัญจากคุณ Pramut Sriwichian ผู้จัดการอวุโสของประเทศไทยและอินโดจีนของบริษัท ที่ได้แสดงวิสัยทัศน์อย่างแข็งขันถึงสถานการณ์ของธุรกิจปัจจุบันและแนวทางที่องค์กรควรจะไปได้อย่างครอบคลุม

คุณ Ravi Rajandren, Managing Director ของ Veritas ประจำภูมิภาคอาเซียใต้

คุณ Ravi Rajandren, Managing Director ของ Veritas ประจำภูมิภาคอาเซียใต้ได้มาเล่าให้ฟังถึงความซับซ้อนของข้อมูล โดยสาเหตุนั้นเกิดมาจากการเปลี่ยนผ่านจะเทคโนโลยีเก่า เช่น Database และระบบ ERP บน On-premise แบบเดิมที่ก้าวเข้าสู่ความเป็น Virtualize บน Hypervisor รวมถึง Workload ใหม่อย่าง Cloudera MongoDB เป็นต้น และท้ายที่สุดคือ Multi-cloud ทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรจะจัดการกับข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่หลายแห่งนั้นได้อย่างไร

อีกประเด็นหนึ่งคือปัจจัยจากภายนอกใน 3 ส่วนคือ

  • Growth – การเติบโตของข้อมูลจากการเข้าถึงเทคโนโลยีซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าต่อไปนี้เทคโนโลยีจะมีแต่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นคำถามที่ต้องตอบให้ได้คือองค์กรจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างไร
  • Threat – ภัยคุกคามอย่าง Ransomware นั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายปีที่ผ่านมา องค์กรจะปกป้องข้อมูลสำคัญหรือกู้คืนข้อมูลเหล่านั้นกลับมาได้อย่างไร
  • Regulation – กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง GDPR และ PDPA ได้พูดถึงการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล แต่องค์กรจะสามารถตอบโจทย์ได้อย่างไรหากไม่เข้าใจว่าข้อมูลเหล่านั้นคืออะไร และเกิดการประมวลผลอย่างไรบ้าง

ด้วยเหตุนี้เอง Veritas จึงได้ออกคอนเซปต์ Veritas Enterprise Data Service Platform ซึ่งยึดถือหัวใจสำคัญ 3 ข้อที่ทุกองค์กรต้องการดังนี้

  • (A)vialability – ระบบต้องสามารถใช้การได้เสมอในทุกสถานการณ์ คงไม่ดีแน่หากธุรกิจต้องหยุดชะงักแม้เพียงเสี้ยววินาทีจะอุบัติเหตุต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา 
  • (P)rotection – ข้อมูลจะต้องถูกคุ้มครองและปกป้องได้ตลอดเวลา ไม่ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกเก็บอยู่ที่ใดก็ตาม
  • (I)nsights – องค์กรจะต้องเข้าใจข้อมูลในมือจึงจะสามารถวางแผนเพื่อจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ของกฏหมายคุ้มครองข้อมูลได้

นอกจากเครื่องมือที่องค์กรเลือกนำมาใช้ควรจะสามารถครอบคลุมหัวใจสำคัญข้างต้นได้ทั้งหมดแล้ว องค์กรควรจะพิจารณาเลือกเครื่องมือที่สามารถบูรณาการกันให้รองรับข้อมูลที่อยู่ในทุกแพลตฟอร์ม พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ทุกเวลาได้ ทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติงานเพราะลำพังข้อมูลที่มีเองก็ซับซ้อนพออยู่แล้ว

ตอบโจทย์ A P I ด้วยเครื่องมือจาก Veritas

เพื่อการตอบโจทย์ด้าน Avialability นั้น Veritas ตระหนักดีถึงความสำคัญของ Application ที่อยู่เหนือ Infrastructure ที่ต้องทำงานได้แบบ 24×7 และต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้เองได้นำเสนอเทคโนโลยี Software-defined Storage ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า Info Scale ที่ทำให้องค์กรสามารถติดตามและบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถทำ Scale-up ได้ตามความต้องการและรองรับได้ทุกสภาพแวดล้อมตัวอย่างเช่น การย้ายข้อมูลเพื่อใช้งาน Cloud เป็น DR, การย้าย Application จาก On-premise สู่ Cloud, การย้ายข้อมูลข้ามระหว่าง Region ใน Cloud เดียวกัน และการย้ายข้อมูลข้ามระหว่าง Cloud คนละเจ้ากัน

สำหรับในด้าน Protection เอง NetBackup คือหัวใจสำคัญขององค์กรที่สามารถเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ได้ ทั้งในแง่ของความง่ายในการใช้งาน การรองรับ Workload ได้หลากหลายจากแอปพลิเคชันหรือ Database ต่างๆ รวมถึงยังมีการเปิด API เพื่อให้สามารถ Integrate ให้เกิดความเป็น Automation อย่างครบวงจรและบริหารจัดการได้ง่ายด้วย นอกจากนี้ยังรองรับข้อมูลไม่ว่าจะเก็บอยู่เป็น On-premise Storage และ Cloud โดย NetBackup เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีทางเลือกให้องค์กรได้ทุกทางทั้งในแบบซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ Virtual หรือเป็นบริการบน Cloud 

ส่วนสุดท้ายซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญนั่นก็คือ Insights โดย Veritas ได้แบ่งกระบวนการเป็น 3 ส่วนคือ

  • Collect – เก็บ meta data จากสินทรัพย์ด้านไอที
  • Correlate – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้มาว่ามีการเชื่อมต่อกันอย่างไร 
  • Present – แสดงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่คนเข้าใจได้ง่าย

โดยใน Insights ที่ได้นำเสนอมี 2 ผลิตภัณฑ์คือ Information Studio ซึ่งจะเน้นในเรื่องของการวิเคราะห์ Content ของข้อมูล เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลจากใน File Share ทั้งใน NAS, SAN Storage ใน Windows หรือ Linux นอกจากนี้ Veritas ยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งจะเข้าซื้อกิจการบริษัทด้าน IT Analytics ที่ชื่อว่า APTARE (แอป-ทาร์) โดยเน้นการวิเคราะห์ Infrastructure ขององค์กร ทั้งนี้ความโดดเด่นของ APTARE คือสามารถวิเคราะห์การใช้งานกับผลิตภัณฑ์ Backup รายอื่นและ Cloud เจ้าต่างๆ ได้ รวมถึงยังเก่งเรื่อง Customize รายงานได้หลายแบบ นอกจากนี้ยังสามารถแสดง Visualize ในระดับ Topology ได้เลยทีเดียว เช่น Storage ต่ออยู่กับ Network หรือ Client ตัวไหนทำให้ติดตามปัญหาได้ง่าย 

อย่างไรก็ตาม APTARE ยังรองรับการ Scale การใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้และช่วยองค์กรตอบคำถามในด้านความเสี่ยงและวางแผนบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิ รวมถึงยังสามารถทำ Tenant รองรับธุรกิจแบบ Managed Service ตั้ง Policy เพื่อแจ้งเตือนผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบปัญหาได้อีกด้วย ผู้สนใจสามารถชมวีดีโอสาธิตการใช้งาน APTARE ในงานครั้งนี้ได้ตามล่าง

จะเห็นได้ว่า Veritas ได้นำเสนอเครื่องมือที่สามารถแก้ปัญหาในทุกด้านให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง ที่สำคัญยังเป็นเครื่องมือที่สามารถบูรณาการร่วมกันได้และรองรับแพลตฟอร์มได้ทุกแบบ รวมถึงยังพัฒนาให้เลือกใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นทันสมัยด้วยการเปิด API ให้เกิดความเป็นอัตโนมัติทำให้องค์กรสามารถจบปัญหาได้อย่างครบวงจรได้ง่ายดาย อย่างไรก็ดี Veritas ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหาในครั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ 

สามารถติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือนำเสนอโซลูชันได้ตามด้านล่าง

Email : sales@veritasthailand.com 

Line id : @veritasthailand

About nattakon

จบการศึกษา ปริญญาตรีและโท สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ KMITL เคยทำงานด้าน Engineer/Presale ดูแลผลิตภัณฑ์ด้าน Network Security และ Public Cloud ในประเทศ ปัจจุบันเป็นนักเขียน Full-time ที่ TechTalkThai

Check Also

จีเอเบิล ชี้ 3 Mega Trend ไอที เปลี่ยนโฉมธุรกิจองค์กรไทย พร้อมเป็น Tech Enabler ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต [PR]

ในยุคที่ธุรกิจองค์กรแข่งขันกันด้วยความเร็ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และผลกำไรที่มากขึ้น การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่เพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจรวมถึงผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจองค์กรต่างๆ กำลังมองหา เพราะการดำเนินธุรกิจองค์กรในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้าง Competitive Advantage เพื่อเป็นฐานในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งแน่นอนว่าอาวุธที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากการพัฒนาคนในองค์กรให้เรียนรู้ทักษะด้านเทคโนโลยีอยู่เสมอ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ตรงกับกระแสทิศทางเทรนด์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและตอบโจทย์ในการสร้างผลกำไรของแต่ละธุรกิจองค์กรในทุกภาคอุตสาหกรรมก็เป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้กัน

อาลีบาบา คลาวด์ เปิด ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สองในประเทศไทยมาพร้อมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อรองรับ Generative AI และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม [PR]

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองในประเทศไทย มุ่งเพิ่มสมรรถนะในการตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน generative AI และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำสู่ความยั่งยืน