[PR] Nutanix! คุณกำลังบอกเราให้ซื้อน้อยๆ ?

โดย: ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี
ผู้จัดการประจำประเทศไทย
นูทานิกซ์

หลังจากที่ผมแสดงแบบจำลองการคำนวณทางการเงินและงบประมาณ เพื่อวางแผนการซื้อแพลตฟอร์ม      นูทานิกซ์ให้ซีไอโอท่านหนึ่งชม เขาถามผมว่า “คุณกำลังบอกเราให้ซื้อนูทานิกซ์ให้น้อยลงอย่างนั้นหรือ?”  ใช่ครับ ผมตอบ ทำไมคุณต้องลงทุนมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ นอกจากนี้เมื่อลงทุนเท่าที่จำเป็นคุณยังอาจมีงบประมาณเหลือที่จะไปใช้กับสิ่งอื่นที่จำเป็นต่อองค์กรกว่าได้ แน่นอนว่าองค์กรย่อมมีวิสัยทัศน์และมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคต แต่หากคุณซื้อเมื่อถึงวันที่ต้องใช้งานจริงๆ จำนวนอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มจะน้อยกว่าการที่คุณจ่ายเงินซื้อไว้ล่วงหน้า

นูทานิกซ์สร้างแนวทางและวิธีคิดใหม่ๆ หลายแง่มุมให้กับไอทีในองค์กรทั้งด้านการดำเนินงานและการเงิน วิธีการหลายๆ วิธีของนูทานิกซ์ได้รับการรับรองโดยองค์การวิเคราะห์ชั้นนำในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น IDC (TCO/ROI), IDC (Org transformation) และ ESG หนึ่งในข้อได้เปรียบทางการเงินที่น่าสนใจที่สุด เกิดจากการที่เทคโนโลยีแบบนูทานิกซ์นั้นอนุญาตให้องค์กรสามารถซื้อเท่าที่จำเป็น และได้รวมความสามารถในการขยายและอัพเกรดระบบได้โดยไม่ต้องหยุดระบบผ่านการคลิกเพียงครั้งเดียว (1-click upgrades) และใช้ประโยชน์จาก “กฎของมัวร์” เพื่อลดต้นทุนโดยรวมขององค์กร

ซื้อเท่าที่ใช้

ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบแชร์สตอเรจ (SANs) รวมถึงออล-แฟลชอาเรย์ มีความท้าทายกับการลงทุนหลายประการ และส่วนใหญ่เป็นความท้าทายเกี่ยวกับข้อจำกัดในการเพิ่มขยายในอนาคต ในโครงสร้างพื้นฐานรุ่นเก่าที่แยกเป็นสามระดับ (3-tier infrastructure) ซึ่งประกอบด้วย สตอเรจที่เป็นศูนย์กลางเก็บข้อมูล + สตอเรจเน็ตเวิร์ค + ระบบประมวลผล ทำให้การเพิ่มแชร์สตอเรจกลายเป็นการเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานแบบไซโล (silo) และมีความยุ่งยากในการโอนย้ายข้อมูล

บริษัทต่างๆ จึงมักซื้อระบบ SAN ที่มีความจุมากๆ ไว้ก่อน ซึ่งเกินความจำเป็นที่ต้องใช้ ณ ขณะนั้น การซื้อล่วงหน้าแบบนี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของการใช้พื้นที่สำหรับจัดเก็บแร็ค, การใช้พลังงาน, การระบายความร้อน รวมถึงค่าเสื่อมราคาฮาร์ดแวร์ที่ซื้อมาล่วงหน้านั้น ถึงแม้ว่าหากต่อมาสิ่งที่ซื้อมาเกินนี้จะพิสูจน์ได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วก็ตาม แต่เมื่อถึงกำหนดที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ องค์กรจะต้องเผชิญกับการอัพเกรดและเปลี่ยนถ่ายขนานใหญ่เมื่อเวลานั้นมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โครงสร้างพื้นฐานของนูทานิกซ์สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ด้วยการคลิกเม้าส์เพียงครั้งเดียวเพื่อเพิ่มขยายและอัพเกรดระบบในสภาพแวดล้อมของนูทานิกซ์ รวมถึงการถอดระบบเก่าออกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถือเป็นการ ”ปฏิวัติ” แนวทางในการจัดการและปรับขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานให้กับระบบสารสนเทศ ขจัดความยุ่งยากของโครงสร้างพื้นฐานแบบไซโลในอดีต

การวางแผน และประเมินความต้องการในอนาคต (Capacity Forecasting) ของนูทานิกซ์ ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถประเมินและวางแผนความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้สามารถจัดซื้อโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะที่ต้องการใช้ ทำให้ง่ายต่อการวางงบประมาณและเห็นต้นทุนด้านไอทีที่เกิดจากการใช้งานของแผนกต่างๆ ภายในองค์กรทั้งแบบ Chargeback หรือระบบ Showback ได้อย่างเหมาะสมมากกว่าการซื้อคราวละมากๆ

การอัพเกรดด้วยซอฟต์แวร์ผ่านการคลิกครั้งเดียว (1-Click Upgrades)

ความท้าทายอีกประการหนึ่งของระบบ SAN เกิดจากความสัมพันธ์ของเฟิร์มแวร์กับฮาร์ดแวร์ที่ยึดโยงต่อกันภายใต้ฮาร์ดแวร์ของเวนเดอร์แต่ละราย บริษัทที่ใช้ระบบ SAN เก่าที่เคยซื้อมาเมื่อ 3 ปีที่แล้วไม่อาจที่จะดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ที่มีความสามารถใหม่ของ SAN รุ่นใหม่ ให้ทำงานกับ SAN เก่าของตนเองได้

แต่ลูกค้าของนูทานิกซ์สามารถทำเช่นนั้นได้ การคลิกเพียงครั้งเดียวจะทำการอัพเกรดโหนดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโหนดใหม่หรือเก่าได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพื่อให้ได้ใช้ความสามารถใหม่ๆ ด้วยระบบปฏิบัติการนูทานิกซ์อะโครโพลิส (Nutanix Acropolis Operating System: AOS) รวมถึงการอัพเกรดเซิร์ฟเวอร์เฟิร์มแวร์ หรือแม้กระทั่งการอัพเกรดไฮเปอร์ไวเซอร์ด้วยเช่นกัน

การอัพเกรดที่กล่าวมาทำงานแบบอัตโนมัติ กระบวนการจะเริ่มจากโหนดใดโหนดหนึ่ง ได้รับอัพเกรด, ตรวจสอบ และเปิดทำงานบนซอฟต์แวร์ใหม่ และจะทำซ้ำไปยังโหนดอื่นต่อๆ ไป จนกระทั่งการอัพเกรดเสร็จสมบูรณ์

ลูกค้าของนูทานิกซ์หลายๆ รายทำการอัพเกรดระบบได้อย่างสะดวกและไม่รบกวนการทำงานของแอปพลิเคชั่น ตัวอย่างเช่นลูกค้าบางรายอัพเกรดโหนดของนูทานิกซ์จากรถ Tesla ของเขา ลูกค้ารายหนึ่งอัพเกรดระบบผ่าน iPhone ในวันหยุดพักผ่อนของเขา นั่นคือความสามารถของ 1-click upgrades ที่ช่วยให้สามารถอัพเกรดระบบได้อย่างง่ายดายจากทุกที่ตามต้องการ

ในขณะที่โหนดทุกโหนดใช้ระบบปฏิบัติการนูทานิกซ์อะโครโพลิส (AOS) เดียวกันและบริหารจัดการจากหน้าจอนูทานิกซ์ปริซึมเพียงหน้าจอเดียว โหนดต่างๆ จะสามารถใช้ความสามารถใหม่ๆ เช่น Acropolis Block Services และ Self Service Portal ที่ติดตั้งมากับ AOS เวอร์ชั่นล่าสุดได้ทันที โดยไม่ต้องอัพเกรดหรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิมใดๆ นูทานิกซ์ยังคงเดินหน้าพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความจุ

ลูกค้ารายหนึ่งได้ทวีตข้อความที่แสดงให้เห็นว่าสามารถประหยัดพื้นที่จัดเก็บได้เป็นหลักเทราไบต์  บางรายเมื่ออัพเกรด AOS 4.5 ไปเป็น AOS 4.72 แล้วสามารถเพิ่ม IOPs ขึ้นถึง 40% ในขณะที่ Latency ลดลงถึง 50%

ประสิทธิภาพและความจุที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้สามารถสร้างเวอร์ชวลแมชชีนต่อโหนดมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าของนูทานิกซ์สามารถใช้โหนดต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือจัดการใดๆ กับฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ และเมื่อต้องการขยายสภาพแวดล้อมการทำงานบนนูทานิกซ์ ก็จะใช้โหนดใหม่ๆ ไม่กี่โหนดเท่านั้น และสามารถอัพเกรดได้ผ่าน 1-click upgrades

กฎของมัวร์

กฎของมัวร์ระบุว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ในหน่วยประมวลผลเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน จะมีผลต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไอทีไปอีกนาน คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป, เว็บไซต์, iPhone, คลาวด์คอมพิวติ้ง และโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ เป็นตัวอย่างของเทคโนโลยีที่พิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงนี้ที่อาศัยความเร็วที่เพิ่มขึ้นของ CPU

การพัฒนาประสิทธิภาพของเทคโนโลยียังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีที่จะหยุด ซึ่งพิสูจน์ได้จากการเพิ่มจำนวนคอร์บน CPU ที่มากขึ้น, เทคโนโลยีโฟโตนิกส์ เทคโนโลยีบางอย่างฉีกกฎเกณฑ์ที่ว่าไปมากกว่า เช่นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ NVMe ที่เพิ่งเริ่มใช้งานกัน แต่เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลใหม่ที่เร็วกว่าอย่าง 3D-XPoint ก็พร้อมที่จะผลิตออกสู่ตลาดแล้วเช่นกัน

ลูกค้าของนูทานิกซ์มีการขยายระบบขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี แต่ด้วยความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่รองรับงานได้มากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถลดการซื้อโหนดใหม่ๆ ซึ่งทำให้ต้นทุนโดยรวมต่ำลงเมื่อเทียบกับการซื้อตั้งแต่แรกแบบระบบโครงสร้างพื้นฐานเก่าๆ

ตารางด้านล่างแสดงให้เห็นว่าความสามารถที่ว่านี้เกิดผลอย่างไรเมื่อนำมาปฏิบัติ แผนภูมิแสดงให้เห็นการทำงานในสภาพแวดล้อมของ VDI ในองค์กรแห่งหนึ่ง สำหรับตัวอย่างนี้ เป็นการทยอยเปลี่ยนเครื่องพีซี 5,000 เครื่องเป็น VDI จำนวน 1,000 ยูสเซอร์ในแต่ละปี ซึ่งในแต่ละปีจะใช้จำนวนโหนดบนนูทานิกซ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่มากขึ้นจึงสามารถรองรับยูสเซอร์ของ VDI ต่อโหนดได้มากขึ้นนั่นเอง

ในตัวอย่างนี้ ปีแรกเมื่อผู้ใช้ 1,000 คนแรกถึงเวลาย้ายมาบน VDI จะใช้โหนดของนูทานิกซ์จำนวน 8 โหนด ระหว่างการอัพเกรดด้วยซอฟต์แวร์ผ่าน 1-click upgrades และเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ที่ล้ำหน้า หากเราถือว่ามีการเพิ่มขึ้นของความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 25% ต่อปี หมายความว่าเมื่อผู้ใช้อีก 1,000 คนถัดไปถึงเวลาย้ายมาบน VDI ในปีที่สอง จะใช้โหนดของนูทานิกซ์เพียง 6 โหนด และเมื่อถึงเวลาที่ผู้ใช้ 1,000 คนสุดท้ายถึงเวลาเปลี่ยนในปีที่ 5 จะต้องการนูทานิกซ์เพียง 3 โหนดเท่านั้น

หลักการนี้สามารถใช้กับเวอร์ชวลไลซ์เวิร์คโหลดอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น Splunk, บิ๊กดาต้า, ไพรเวทคลาวด์, เซิร์ฟเวอร์เวอร์ชวลไลเซชั่น, DR, สำนักงานสาขา, Unified Communications, SAP หรือ Oracle based ERP, และอื่นๆ

เม็ดเงินที่ลงทุนสำหรับการใช้งาน VDI จะปรับลดลงพร้อมๆ กับการลดลงของการใช้พื้นที่แร็ค, การใช้พลังงาน และระบบระบายความร้อน นอกจากนี้นูทานิกซ์ยังช่วยขจัดความเสี่ยงที่เกิดจากระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม (3-tier) ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเกินจำเป็น และการเผชิญกับการอัพเกรด SAN ใหม่ที่ต้องจ่ายแพง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการอัพเกรดแบบมโหฬารทั้งยวงจึงไม่ใช่แนวทางของนูทานิกซ์เอ็นเตอร์ไพรส์คลาวด์แพลตฟอร์ม

นูทานิกซ์ขายแพลตฟอร์ม ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์

ลูกค้าของนูทานิกซ์มีแนวโน้มที่จะมีการซื้อซ้ำโหนดของนูทานิกซ์เพิ่มขึ้น อ้างอิงจากรายงานของบริษัทเมื่อสิ้นไตรมาสของวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ระบุว่าช่วงเวลาเฉลี่ยของการซื้อของลูกค้าที่อยู่ในกลุ่ม Global 2000 จำนวน 376 รายเพิ่มขึ้นถึง 7.3 เท่าเทียบกับการซื้อเดิมของพวกเขา

ผมบอกกับซีไอโอท่านที่ถามผมว่า มีเหตุผลหลักสองประการเท่านั้นเมื่อจะซื้อแพลตฟอร์มของเราเพิ่ม ประการแรกคือเมื่อจะใช้นูทานิกซ์กับงานที่เกิดขึ้นใหม่ที่องค์กรมองเห็นแล้วว่าจะเกิดประโยชน์ทางธุรกิจอย่างรวดเร็วเช่น จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น, ลดงานและเวลาลง, เพิ่มประสิทธิผลของพนักงาน ฯลฯ ผลที่ออกมาต้องคุ้มค่าเพียงพอที่จะตัดสินใจเร่งการพัฒนาโครงการแทนที่จะรอเป็นเวลาหลายปี

เหตุผลประการที่สองคือเมื่อองค์กรเริ่มใช้นูทานิกซ์ไปแล้ว และฝ่ายไอทีมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดผลคุ้มค่าซึ่งได้จากสภาพแวดล้อมที่ใช้งานง่าย ลดการหยุดทำงานของระบบลง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และอื่นๆ

ลงทุนน้อยเพื่อประโยชน์สูงสุด

สภาพแวดล้อมแบบ 3-tier ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมแบบเก่าที่ลูกค้าไม่เพียงแต่จะต้องซื้อสตอเรจจำนวนมากเท่านั้น แต่มักต้องลงทุนกับระบบเวอร์ชวลไลเซชั่น และการผูกโยงกับซอฟต์แวร์ที่มากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมักไม่ได้ใช้และกลายเป็น “shelfware” ในที่สุด  นูทานิกซ์ไม่เพียงแต่สนับสนุนโมเดลจ่ายเท่าที่ใช้ (pay-as-you-grow) ให้กับลูกค้า แต่ยังให้เครื่องมือเช่น Runway และ Sizer เพื่อช่วยให้ลูกค้าหลีกเลี่ยงการซื้อเกินความจำเป็นที่ต้องใช้ในปัจจุบัน

นูทานิกซ์มีปรัชญา “ลงทุนน้อยเพื่อประโยชน์สูงสุด” นูทานิกซ์สร้างแพลตฟอร์มที่ทำงานคล้ายคลาวด์ที่เรียบง่ายและคล่องตัวแต่ยังคงควบคุมได้ ช่วยขจัดความซับซ้อนให้กับโครงสร้างพื้นฐาน, การบริหารจัดการ, การอัพเกรด และการใช้ระบบเวอร์ชวลไลเซชั่น การซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และจำนวนโหนดที่ลดลงเมื่อจะขยายธุรกิจช่วยให้ลูกค้าประหยัดงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจด้านอื่นๆ ขององค์กร

ข้อมูลเพิ่มเติม

About TechTalkThai PR 2

Check Also

รู้จัก Customer 720 Dataverse เครื่องมือจับอินไซท์ผู้บริโภคแบบเฉพาะเจาะจงเพิ่มความแม่นยำ สร้างประสบการณ์โดนใจผู้บริโภคได้ทุกโมเมนต์ [PR]

หนึ่งในเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามองของภาคธุรกิจในยุคนี้คงหนีไม่พ้น การนำดาต้าและเทคโนโลยี AI มาใช้ในการดำเนินงาน ตั้งแต่การวางกลยุทธ์การตลาดไปจนถึงบริหารองค์กร ซึ่งนักการตลาดและผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกหลายด้านไปวิเคราะห์ขั้นสูงด้วย AI สร้างเป็นกลยุทธ์ หรือแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง ดังนั้น “เอ้ก ดิจิทัล” (EGG Digital) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ขอพาทุกคนไปรู้จัก “Customer 720 Dataverse” เครื่องมือช่วยจับอินไซท์ผู้บริโภคแบบเฉพาะเจาะจง ผ่านการใช้ดาต้าที่ลึกและครอบคลุมทุกมุมมองแบบ 720 องศา …

OLIC ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผลิตยาเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กร ด้วย ‘RISE with SAP’ [PR]

OLIC (Thailand) Limited หนึ่งในบริษัทรับจ้างผลิตยาครบวงจรของไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนด้วย RISE with SAP จาก  NDBS Thailand