Black Hat Asia 2023

สรุปคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติด้าน Password ล่าสุดจาก NIST

บทความนี้ได้สรุปคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติด้าน Password จากเอกสาร NIST Special Publication 800-63B Rev3 ของ สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIST ได้แก่ การสร้างรหัสผ่านใหม่ การพิสูจน์ตัวตนด้วยรหัสผ่าน และการจัดเก็บรหัสผ่าน รวมไปถึงสาเหตุว่าทำไม เพื่อให้องค์กรเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้กับการออกนโยบายด้านรหัสผ่านของตนเองได้ ดังนี้

Credit: ShutterStock.com

คำแนะนำในการสร้างรหัสผ่านใหม่

การรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับรหัสผ่านเริ่มต้นด้วยการสร้างรหัสผ่านให้แข็งแกร่ง นี่ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบของผู้ใช้ฝ่ายเดียว แต่องค์กรจำเป็นต้องกำหนดนโยบายรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเพียงพอ แล้วนำไปบังคับใช้กับผู้ใช้ด้วย โดยคำแนะนำในการสร้างรหัสผ่านใหม่มี 2 ข้อ คือ

1. ความยาวสำคัญกว่าความยาก

แนวคิดสมัยก่อนเชื่อว่ายิ่งรหัสผ่านซับซ้อนเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว ปัจจัยสำคัญของความแข็งแกร่งของรหัสผ่านขึ้นกับความยาวมากกว่า เนื่องจากยิ่งรหัสผ่านยาว ยิ่งเดารหัสผ่านได้ยาก นอกจากนี้ จากการวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การบังคับให้รหัสผ่านใหม่มีความยากกลับยิ่งทำให้ความมั่นคงปลอดภัยลดลง เนื่องจากผู้ใช้หลายคนมักเพิ่มความยากให้รหัสผ่านตัวเองแบบง่ายๆ เช่น เพิ่ม “1” ไว้ด้านหน้าหรือ “!” ไว้ตอนท้าย แม้ในทางทฤษฎีจะทำให้รหัสผ่านแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เมื่อเหล่าแฮ็กเกอร์ทราบรูปแบบตรงนี้แล้ว กลับเป็นการช่วยลดเวลาในการเดารหัสผ่านให้แฮ็กเกอร์แทน ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ ยิ่งรหัสผ่านซับซ้อนเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผู้ใช้ใช้รหัสผ่านเดิมซ้ำๆ กับหลายๆ บัญชี ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจมตีแบบ Credential Stuffing Attacks มากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ NIST จึงไม่บังคับเรื่องความยากของรหัสผ่าน แต่กลับบังคับเรื่องความยาวที่ต้องมีขั้นต่ำ 8 ตัวอักษรแทน

2. ตัดการรีเซ็ตรหัสผ่านใหม่ทุก 3 เดือนหรือ 6 เดือนทิ้งไป

หลายองค์กรยังคงยึดติดกับการบังคับให้ผู้ใช้รีเซ็ตรหัสผ่านบ่อยๆ เช่น ทุก 3 เดือนหรือทุก 6 เดือน โดยเข้าใจว่าเป็นการป้องกันเผื่อกรณีที่รหัสผ่านหลุดออกไป จะได้ไม่สามารถล็อกอินเข้ามาได้อีก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ กลับเป็นการทำให้ความมั่นคงปลอดภัยแย่ลง เนื่องจาก ในชีวิตจริง การจดจำรหัสผ่านดีๆ สักอันไปทั้งปีถือเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว เมื่อต้องมีหลายๆ รหัสผ่านที่จำเป็นต้องจำ ผู้ใช้จึงมักเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นรูปแบบที่คาดเดาได้ไม่ยาก เช่น เพิ่มตัวอักษรอีก 1 ตัวต่อท้ายรหัสผ่านล่าสุดที่ใช้ หรือแทนที่ตัวอักษรบางตัวด้วยสระ เช่น “$” แทน “S” เป็นต้น เมื่อแฮ็กเกอร์รู้รหัสผ่านก่อนหน้านี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเดารหัสผ่านใหม่ NIST จึงแนะนำให้ตัดการรีเซ็ตรหัสผ่านใหม่เมื่อเวลาผ่านไปออกจากนโยบายขององค์กร

Credit: watcharakun/ShutterStock

คำแนะนำในการพิสูจน์ตัวตนด้วยรหัสผ่าน

วิธีที่องค์กรใช้พิสูจน์ตัวตนด้วยรหัสผ่านเมื่อผู้ใช้ทำการล็อกอินส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับความมั่นคงปลอดภัยของรหัสผ่าน ซึ่ง NIST ได้ให้คำแนะนำในส่วนนี้ดังนี้

1. เปิดใช้งาน “แสดงรหัสผ่านขณะพิมพ์”

การพิมพ์รหัสผ่านผิดถือเป็นเรื่องปกติที่เราพบเจอ เนื่องจากสิ่งที่เราพิมพ์จะแสดงผลเป็นจุดดำหรือเครื่องหมายดอกจันทร์ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะระบุได้ว่าพิมพ์ผิดตรงไหน นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผู้ใช้หลายรายเลือกใช้รหัสผ่านสั้นๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเว็บไซต์ที่ยอมให้ใส่รหัสผ่านได้ไม่กี่ครั้ง ดังนั้น ควรเปิดให้มีฟีเจอร์ “แสดงรหัสผ่านขณะพิมพ์” เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้พิมพ์รหัสผ่านยาวๆ ได้ถูกต้องในทีเดียว

2. เปิดให้ “วาง” รหัสผ่านในช่องที่ต้องกรอกได้

ยิ่งการใส่รหัสผ่านทำได้ง่ายเท่าไหร่ ผู้ใช้ยิ่งมีแนวโน้มที่จะตั้งรหัสผ่านยาวๆ และมีความยากมากยิ่งขึ้น การเปิดให้ “คัดลอก” และ “วาง” รหัสผ่านในช่องที่ต้องกรอกได้จึงเป็นผลดีมากกว่า โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีรหัสผ่านเป็นจำนวนมากและเริ่มหันไปใช้เครื่องมือจำพวก Password Manager มากขึ้น

3. ใช้การป้องกันรหัสผ่านรั่วไหล

คำแนะนำด้านรหัสผ่านล่าสุดของ NIST ระบุว่า ต้องมีการตรวจสอบรหัสผ่านใหม่กับรายการแบล็กลิสต์ เช่น คำในพจนานุกรม, คำที่ใช้ตัวอักษรเรียงกัน, คำที่ใช้เป็นชื่อต่างๆ , ข้อความที่มักใช้บ่อย หรือรหัสผ่านที่เคยหลุดออกมาสู่สาธารณะ การใช้เครื่องมือสำหรับตรวจสอบรหัสผ่านที่เคยรั่วไหลก็เป็นทางเลือกที่ช่วยให้การตั้งรหัสผ่านใหม่มีความมั่นคงปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

4. ห้ามใช้ “Password Hints”

บางองค์กรพยายามช่วยให้ผู้ใช้จำรหัสผ่านยากๆ ได้ผ่านทางการใช้ “Password Hints” หรือให้ตอบคำถามส่วนบุคคลบางอย่าง อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของโซเชียลมีเดียในปัจจุบันทำให้แฮ็กเกอร์สามารถใช้ Social Engineering เพื่อหาคำตอบของข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้นได้ไม่ยาก NIST จึงไม่แนะนำให้มีฟีเจอร์ในในการพิสูจน์ตัวตน

5. จำกัดจำนวนครั้งในการใส่รหัสผ่าน

แฮ็กเกอร์หลายรายใช้วิธีลองเดารหัสผ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเดาถูก (Brute-force Attack) วิธีป้องกันแบบง่ายๆ คือ การจำกัดจำนวนครั้งในการพยายามล็อกอิน และล็อกบัญชีไม่ให้ล็อกอินอีกเมื่อใส่รหัสผ่านผิดครบจำนวนครั้งที่กำหนด

6. ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบ 2FA

2-Factor Authentication (2FA) จะใช้การยืนยันตัวตน 2 จาก 3 วิธีดังต่อไปนี้เพื่อทำการพิสูจน์ตัวตน

  • สิ่งที่คุณรู้ เช่น รหัสผ่าน
  • สิ่งที่คุณมี เช่น มือถือ
  • สิ่งที่คุณเป็น เช่น ลายนิ้วมือ

NIST แนะนำให้ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบ 2FA เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถเข้าถึงได้แบบออนไลน์

Credit: ShutterStock.com

คำแนะนำในการจัดเก็บรหัสผ่าน

สำหรับการจัดเก็บรหัสผ่านให้มั่นคงปลอดภัย NIST มีคำแนะนำดังนี้

1. ปกป้องฐานข้อมูลให้มั่นคงปลอดภัย

รหัสผ่านของผู้ใช้มักถูกเก็บในฐานข้อมูล วิธีการที่ง่ายที่สุดในการปกป้องฐานข้อมูลนี้คือการจำกัดสิทธิ์ให้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ รวมไปถึงทำให้มั่นใจว่าฐานข้อมูลสามารถป้องกันการโจมตีที่พบทั่วไปอย่าง SQL Injection หรือ Buffer Overflow ได้

2. แฮชรหัสผ่านของผู้ใช้

การแฮชรหัสผ่านก่อนจัดเก็บลงในฐานข้อมูลเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญสามารถป้องกันรหัสผ่านรั่วไหลสู่สาธารณะได้ แม้แฮ็กเกอร์จะสามารถเจาะเข้ามาขโมยรหัสผ่านที่แฮชในฐานข้อมูลได้ แต่ก็ไม่สามารถถอดรหัสกลับไปเป็นรหัสผ่านปกติที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้

NIST แนะนำให้ Salt รหัสผ่านเป็น 32 bits และแฮชโดยใช้ 1-way Key Derivation Function เช่น PBKDF2 หรือ Balloon รวมไปถึงมีจำนวน Iteration มากที่สุดที่เป็นไปได้ (อย่างต่ำ 10,000 ครั้ง) โดยต้องไม่ส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษา Password Guideline จาก NIST ได้ที่เอกสาร NIST Special Publication 800-63B Rev3

ที่มา: https://auth0.com/blog/dont-pass-on-the-new-nist-password-guidelines/


About techtalkthai

ทีมงาน TechTalkThai เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสาย Enterprise IT ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Network, Security, Server, Storage, Operating System และ Virtualization มารวมตัวกันเพื่ออัพเดตข่าวสารทางด้าน Enterprise IT ให้แก่ชาว IT ในไทยโดยเฉพาะ

Check Also

Symphony เปิดตัวนวัตกรรมการเชื่อมต่อ Huawei Cloud ด้วยโซลูชัน Cloud Direct Connect

บริการวงจรเชื่อมต่อที่เหมาะกับการใช้งาน Cloud ของธุรกิจทุกประเภท ที่ต้องการความปลอดภัยและความรวดเร็วในการเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการ Cloud ที่มากกว่าการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตแบบปกติ เช่นธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน ธุรกิจค้าปลีก หรือภาคการผลิต

องค์กรของคุณควบคุมค่าใช้จ่ายคลาวด์แล้วหรือยัง เริ่มต้นวันนี้ด้วยเครื่องมือ FinOps จาก VMware Aria

รายจ่ายเป็นเรื่องใหญ่เสมอสำหรับทุกองค์กร และมักเป็นคำถามสำคัญในทุกการประชุมจากเหล่าผู้บริหารว่าวันนี้ทีมของคุณจัดการค่าใช้จ่ายได้ดีเพียงใด เหมาะสมแล้วหรือไม่ คุ้มค่าหรือยัง อย่างไรก็ดีองค์กรที่ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมมักยากที่จะตอบคำถามนี้ได้ โดยเฉพาะการใช้งาน Multi-cloud ที่มีความซับซ้อนสูง เพราะคลาวด์ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายขององค์กรให้ติดตามได้ยาก จึงนำไปสู่แนวคิดใหม่ของหน้าที่ที่เรียกว่า FinOpsในบทความนี้ท่านจะได้เรียนรู้กับหน้าที่ของ FinOps และแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้แนวคิดนี้ประสบความสำเร็จ รวมถึงผลประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับหากมีการจัดการต้นทุนของคลาวด์ที่ดี อนึ่ง …