นับวัน Wi-Fi จะยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในธุรกิจองค์กรทุกแห่ง ในฐานะของช่องทางการเชื่อมต่อหลักสำหรับอุปกรณ์แทบทุกชนิดในระดับ Access Network ดังนั้นการออกแบบระบบ Wi-Fi ที่ดี ก็จะเป็นหัวใจสำคัญต่อการกำหนดกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและการทำงานในอนาคตที่ยืดหยุ่นและมั่นคงปลอดภัยต่อธุรกิจไปด้วยนั่นเอง
ในบทความนี้ Systems Dot Com หรือ SDC จะมาเล่าถึงทิศทางการออกแบบระบบเครือข่าย Wi-Fi ด้วยโซลูชันจาก HPE Aruba Networking เพื่อเป็นแนวทางในภาพรวมให้ทุกท่านได้เห็นว่า ระบบเครือข่าย Wi-Fi แห่งอนาคต ควรประกอบไปด้วยเทคโนโลยีอะไรบ้าง และธุรกิจจะได้รับประโยชน์จากแต่ละส่วนของการลงทุนวางระบบเครือข่ายได้อย่างไรบ้าง
1. วางระบบเครือข่าย Wireless LAN ด้วย Wi-Fi 6E
สำหรับการวางระบบเครือข่ายในปี 2024 เป็นต้นไปนั้น แนวทางหนึ่งที่เหมาะสมก็คือการเลือกใช้เทคโนโลยี Wi-Fi 6E ขึ้นไป เพื่อให้ระบบเครือข่ายไร้สายสามารถใช้งานย่านความถี่ 6GHz เพิ่มเติมได้ ซึ่งเมื่อนำมาใช้งานร่วมกับย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz แล้ว ก็จะช่วยให้สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานและอุปกรณ์ภายในเครือข่ายได้มากขึ้น และรองรับ Channel ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมี Bandwidth ที่สูงขึ้น เพื่อรองรับ Workload ของระบบ Application ใหม่ๆ ในอนาคต เช่น วิดีโอความละเอียดสูง, Virtual Reality และอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แน่นอนว่าอุปกรณ์ในอนาคตไม่ว่าจะเป็น Notebook, Smartphone หรือ Tablet นั้น ก็จะสามารถรองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ผ่านย่านความถี่ 6GHz เพิ่มเติมได้เช่นกัน ดังนั้นการลงทุนใช้งาน Wi-Fi 6E ก็จะช่วยให้ระบบเครือข่ายสามารถรองรับอุปกรณ์เหล่านี้ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในอนาคต
นอกจากนี้ Wireless Access Point (AP) ที่สามารถให้บริการย่านความถี่ 6GHz ได้นั้น ส่วนมากมักจะมาพร้อมกับความสามารถในการให้บริการ Bluetooth Low Energy (BLE) ภายในตัวด้วย ทำให้การอัปเกรดระบบ Wi-Fi ไปสู่ Wi-Fi 6E นั้น จะยังสามารถเติมเต็มความต้องการในการใช้อุปกรณ์ IoT ภายในเครือข่ายผ่าน BLE ไปได้ในเวลาเดียวกัน หากมีการเลือกใช้ AP ที่เหมาะสมและตอบโจทย์เหล่านี้ได้
ปัจจุบัน HPE Aruba Networking มี Access Point ที่รองรับ Wi-Fi 6E พร้อม BLE ได้แก่
- Aruba 650 Series รองรับ Data Rate รวมกันสูงสุด 7.8Gbps
- Aruba 630 Series รองรับ Data Rate รวมกันสูงสุด 3.9Gbps
- Aruba 610 Series รองรับ Data Rate รวมกันสูงสุด 3.6Gbps
รวมถึงยังมี Remote AP ที่รองรับ Wi-Fi 6E และการเชื่อมต่อผ่าน 4G LTE อย่าง Aruba 600R Series อีกด้วย
2. วางระบบเพื่อตรวจสอบประสบการณ์การเชื่อมต่อเครือข่ายตลอด 24×7
ถึงแม้ว่าการใช้ Wi-Fi 6E นั้นจะช่วยให้ระบบเครือข่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากขึ้นแล้ว แต่ในการใช้งานเครือข่าย Wi-Fi ที่ดีนั้น ประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งานได้ เพราะผู้ใช้งานอาจประสบปัญหาที่หลากหลายในการเชื่อมต่อเครือข่าย เช่น การรับ IP Address ไม่ได้, การยืนยันตัวตนไม่สำเร็จ, การเชื่อมต่อ DNS ไม่สำเร็จ หรืออื่นๆ อีกมากมาย
ด้วยเหตุนี้ การตรวจสอบติดตามและแก้ไขปัญหาด้านประสบการณ์การเชื่อมต่อและใช้งานเครือข่าย Wi-Fi จึงกลายเป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากต่อการทำงานของ Network Engineer และผู้ดูแลระบบ IT ในทุกวันนี้ ซึ่งสำหรับประเทศไทย มีธุรกิจและหน่วยงาน 2 กลุ่มที่เริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้เป็นพิเศษ ได้แก่
- มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานที่ที่มักจะมีขนาดใหญ่ และมีผู้ใช้งานจำนวนมากจำนวนหลายร้อยคน ทั้งในส่วนของอาคารเรียนที่มักมีผู้ใช้งานตอนกลางวัน และหอพักนักศึกษาที่มักมีผู้ใช้งานตอนกลางคืน ดังนั้นการตรวจสอบประสิทธิภาพและประสบการณ์ในการเชื่อมต่อ Wi-Fi จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างทันท่วงที
- โรงพยาบาล ซึ่งมักจะต้องมีการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเช่น Cloud, Tablet และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในแบบ IoT มาใช้งานเพื่อให้บริการทางการแพทย์ตลอดเวลา โดยเนื่องจากการที่บริการทางการแพทย์นี้ถือเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยได้ การตรวจสอบประสิทธิภาพและประสบการณ์ของ Wi-Fi จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป เพื่อให้ทุกการรักษาผู้ป่วยนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง ไม่สะดุดติดขัด
HPE Aruba Networking สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ด้วย Aruba User Experience Insight หรือ UXI ที่เป็นโซลูชันซึ่งใช้อุปกรณ์ Sensor หรืออุปกรณ์ Android ทำหน้าที่จำลองเป็นผู้ใช้งาน เพื่อทำการทดลองเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi และเข้าถึง Business Application สำหรับทำการรวบรวมข้อมูลสถิติและปัญหาที่เกิดขึ้นในการเชื่อมต่อ Wi-Fi ก่อนจะทำการส่งข้อมูลเหล่านี้กลับไปบน Cloud ผ่านระบบเครือข่ายขององค์กรหรือ 4G/5G ช่วยให้ธุรกิจและหน่วยงานต่างๆ สามารถติดตามประสบการณ์ในการใช้งาน Wi-Fi ในทุกๆ SSID ที่ต้องการได้ตลอด 24×7
3. เสริมความมั่นคงปลอดภัยให้ทุกการเชื่อมต่อเครือข่ายและการทำงานของผู้ใช้งาน
สุดท้าย การเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบเครือข่าย ผู้ใช้งาน และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อนั้นก็เป็นสิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้อีกต่อไป ซึ่ง HPE Aruba Networking เองก็มีทางเลือกที่หลากหลายเปิดให้ธุรกิจองค์กรสามารถนำไปเลือกใช้งานให้สอดคล้องต่อกลยุทธ์ของตนเองได้ ดังนี้
Aruba ClearPass Entry ซึ่งเป็น License ชนิดใหม่ของ Aruba ClearPass สำหรับใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งานระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ ช่วยให้ธุรกิจองค์กรสามารถเริ่มต้นใช้งาน Aruba ClearPass ได้ในราคาที่คุ้มค่า และเริ่มต้นจากความสามารถพื้นฐานเบื้องต้น ก่อนที่จะต่อยอดไปสู่การใช้งาน Network Access Control อย่างเต็มตัว
Aruba ClearPass โซลูชัน Network Access Control (NAC) ที่มีความสามารถครอบคลุมทั้งการตรวจสอบชนิดของอุปกรณ์, การยืนยันตัวตน, การกำหนดสิทธิ์, การตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของอุปกรณ์ และการจัดการยับยั้งการเชื่อมต่อเครือข่ายเมื่อตรวจพบความเสี่ยงใดๆ รวมถึงยังสามารถจัดการกับ Guest Networking ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Aruba Unified SASE Platform โซลูชัน SD-WAN ที่รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ SASE ใดๆ ก็ได้ตามที่ธุรกิจต้องการ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเริ่มต้น SASE Journey ได้ตามความเหมาะสมของการใช้งาน และเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้ไม่ว่าจะทำงานจากระบบเครือข่ายภายในองค์กร หรือภายนอกองค์กรก็ตาม
Aruba Security Service Edge โซลูชัน SSE ใหม่ล่าสุดของ Aruba ที่เกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการของ Axis ทำให้ธุรกิจองค์กรมีทางเลือกใหม่ในการใช้งาน SSE แล้ว อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกับโซลูชัน SD-WAN ของ Aruba ได้อย่างสมบูรณ์เพื่อกลายเป็น SASE ได้อีกด้วย
สนใจโซลูชันของ HPE Aruba Networking ติดต่อ SDC ได้ทันที
สำหรับผู้ที่สนใจโซลูชันใดๆ ของ HPE Aruba Networking สามารถติดต่อทีมงาน SDC ได้ทันทีที่ marketing@systems.co.th หรือโทร 091-889-8224 , 02-744-1600 หรือ line @sdc_executive และสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ SDC ได้ที่ http://www.systems.co.th