อาชญากรรมทางการเงินยังคงสร้างความเสียหายได้อย่างต่อเนื่อง นั่นพิสูจน์ได้ว่าแม้หน่วยงานป้องกันจะออกมาตรการใหม่มากมาย แต่ก็มิอาจยับยั้งกลไกการโกงที่เพิ่มขึ้นอยู่ได้ตลอด เช่นเดียวกันความเสี่ยงก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งที่ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆรอบด้าน ด้วยเหตุนี้เอง SAS จึงจัดงาน Future Risk & Fraud Forum ที่จะเชิญชวนเหล่าผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินและประกันภัยเข้ามาอัปเดตเรื่องราวของเทรนด์ด้านความเสี่ยงและการทุจริตในทุกๆปี โดยทีมงาน TechTalkThai ขอสรุปสาระสำคัญของงานมาให้ได้ติดตามกันในบทความนี้

“กรณีทุจริตทางการเงินยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยคนร้ายต่างพัฒนาเทคนิคและวิธีการใหม่อยู่เสมอ คนไทยจำนวนมากก็ได้รับผลกระทบ ที่ต้องหาวิธีการแก้ปัญหา แต่การจัดการปัญหาจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ใช่แค่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง อนึ่งการมาถึงของ AI มีทั้งข้อดีที่นำมาปรับใช้เพื่อต่อกรกับการจัดการปัญหาและความเสี่ยง แต่อีกมุมหนึ่ง AI ก็ยังต้องถูกกำกับดูแลให้สอดคล้องกับแนวทางของกฏหมายที่บังคับใช้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเงิน งานในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นทุกปีเพื่ออัปเดตเทรนด์ของการจัดการความเสี่ยงและปัญหาของการทุจริตทางการเงิน” — คุณ ณัฐพล อภิลักโตยานันท์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ SAS ได้กล่าวเปิดในช่วงแรก
เศรษฐกิจมหภาคมีผลกระทบต่อโฉมหน้าความเสี่ยงและคดีอาชญากรรมการเงินอย่างไร


คุณ Lan Holmes, Global lead for enterprise fraud solutions, Director, SaS และคุณ Shaw Pin Kuck, Head of risk management customer advisory(ASEAN), SAS ได้ตั้งธงเกี่ยวกับความเสี่ยงว่าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับปัจจัยจำนวนมาก เช่น การแปรปรวนของสภาพอากาศได้กลายเป็นนโยบายเรื่องคาร์บอน หรือปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดนำไปสู่การตกงาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆรอบด้าน ทั้งเรื่องการเมือง สภาพเศรษฐกิจและสังคม การแตกแยก ความไม่เท่าเทียม หนี้ และอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ
1.) กฏหมาย
ในแต่ละประเทศมีแนวทางปฏิบัติต่างกันออกไปโดยเรื่องของไซเบอร์ถือเป็นหัวข้อใหญ่ที่สุด โดยประกอบด้วยเรื่องพื้นฐานอย่างช่องโหว่ ไปจนถึง 3rd Party ดังนั้นกฏหมายจึงถือเป็นหัวข้อใหญ่ในมุมของความเสี่ยงด้วยที่ต้องปฏิบัติตาม ในแง่ของแนวทางต่อต้านการทุจริตแต่ละประเทศจะมีแนวทางหลักให้ปฏิบัติตัวซึ่งขึ้นกับการตีความ เช่น ธงเรื่องของการตรวจจับกิจกรรมแบบเรียลไทม์ แต่ต้องอิมพลีเม้นต์กระบวนการปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นี้ อย่างไรก็ตามกฏหมายยังเป็นเรื่องเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปแต่ละประเทศด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง
2.) กิจกรรมของอุตสาหกรรม
ประเทศไทยถือว่ามีความก้าวหน้าทางกิจกรรมทางอุตสาหกรรมอย่างมาก ยกตัวอย่าง เทคโนโลยีด้าน Digital ID ซึ่งจะช่วยในเรื่องของยืนยันตัวตนที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ หรือเงินดิจิทัล(Central Bank Digital Currency : CDBC) ที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของการชำระเงินในประเทศและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม แต่ในมุมนี้ก็ต้องคิดเรื่องของความเป็นส่วนตัวของธุรกรรมด้วย ในภูมิภาคยุโรปได้ให้ความสำคัญระบบป้องกันการทุจริตถึงขนาดว่าหากยังไม่มีโมเดลที่มั่นใจได้ก็จะยังไม่อนุมัติระบบเงินดิจิทัล
มุมมองของประเทศไทยเทียบกับภูมิภาคพบว่า ณ ขณะนี้ไทยยังมีความเสี่ยงจากระดับหนี้ครัวเรือนสูงและไม่สามารถเก็บหนี้ได้นำไปสู่หนี้เสียในระบบ รวมถึงระบบปล่อยกู้ดิจิทัล ในขณะที่แนวทางสังคมไร้เงินสดผ่านพร้อมเพย์ก็ได้รับความนิยมแต่ยังยากต่อการขยายตัวออกนอกประเทศ ในระดับภูมิภาคอาเซียนมีความกังวลเกี่ยวกับการกู้ยืนข้ามประเทศและการช่อโกงในระบบอีคอมเมิร์ช แต่หากขยับไปที่ความเสี่ยงระดับสากลภัยทางไซเบอร์และข้อกำหนดจากมาตรควบคุมคือความเสี่ยงที่น่ากังวลมากกว่า
3.) การบูรณาการ
เมื่อมองถึงการผสานทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน ย่อมเกี่ยวข้องไปถึงคน ระบบ ข้อมูล และกระบวนการ เช่นความสามารถในการรองรับลูกค้าที่เข้าถึงได้ทั่วโลก ระบบภายในที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทางกฎหมาย และเทคโนโลยีที่ไม่สามารถทำงานร่วมกัน จะทำยังให้สามารถมองแยกแยะการทุจริต และการเข้าใช้โดยสุจริตแต่ไม่คุ้นเคยออกจากกันได้ เป็นต้น
4.) การใช้ AI
การมาถึงของ AI มีประโยชน์ที่ประจักษ์ชัดในด้านธุรกิจ และคงไม่อาจปฏิเสธถึงการขยายตัวของเทคโนโลยีนี้ได้ ประเด็นสำคัญก็คือการมีแนวทางที่จะกำกับดูแลให้ครอบคลุมในมิติต่างๆ โดยเฉพาะความสอดคล้องกับกฏหมายทางอุตสาหกรรม
เส้นขอบฟ้าใหม่ของ การหลอกลวง ระเบียบข้อบังคับ และเทคโนโลยี สำหรับปี 2025

“ในปี 2025 สถาบันและธุรกิจเกี่ยวกับการเงินกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งทำให้ต้องมีการบริหารจัดการทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งคน เทคโนโลยี กระบวนการ โดยไม่ขัดแย้งกับลูกค้า ภายใต้สภาวะข้อมูลที่ยุ่งเหยิงและเทคโนโลยีกำเนิดใหม่ นอกจากนี้องค์กรยังต้องสร้างความร่วมมือให้เกิดเครือข่ายที่จะสามารถยับยั้งการทุจริตได้อย่างครบวงจร“– คุณ Lina Tong, ASEAN Fraud & Financial Crimes Lead จาก SAS กล่าวในช่วงการบรรยายของเธอ โดยเน้นย้ำถึงองค์ประกอบต่างๆที่มีผลกระทบต่อการจัดการคดีทุจริตทางการเงิน
คุณ Lina ได้เริ่มต้นการบรรยายของเธอด้วยการตอกย้ำถึงเทรนด์ของปี 2024 ซึ่งสถาบันการเงินต้องพบกับวิธีการทุจริตที่พัฒนามากขึ้น ความเสี่ยงที่กดดันเข้ามาจากมุมด้านเทคโนโลยี ระเบียบข้อบังคับ และการมีบทบาทของ AI โดยยังต่อเนื่องไปสู่เทรนด์ที่น่าสนใจของปี 2025 คือ
- ข้อมูลที่กระจัดกระจาย นำไปสู่ปัญหาด้านการดูแล
- AI ที่เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- AI ในมือของอาชญากรทางการเงิน
- การตัดสินใจขององค์กรจะทำได้อย่างไร
- การเปลี่ยนแปลงของระบบไอทีที่ล้ำสมัย
- การกำกับดูแลอย่างทั่วถึง
ความท้าทายขององค์กรในปัจจุบันไม่สามารถแยกขาดมุมมองระหว่างปัจจัยต่างๆได้ เช่น มุมมองจากวิธีการทุจริต มุมมองจากระเบียบข้อบังคับ มุมมองด้านเทคโนโลยี ซึ่งภายใต้ก็คือระบบอันซับซ้อนที่ข้อมูลกระจัดกระจายจากทั้งภายในและนอกองค์กร โดยทั้งหมดนี้จะต้องมีการบริหารจัดการคนและกระบวนการควบคู่ไป โดยไม่ลดทอนประสบการณ์การใช้บริการ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม ให้สามารถป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีคุณ Lina ได้แนะนำ 3 ประเด็นสำคัญของหัวข้อการบรรยายไว้ ดังนี้
1.) ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
หากองค์กรไม่ทำอะไรสักอย่างหรือเพิกเฉยต่อความท้าทายที่กล่าวมาข้างต้น อาจมีเหตุการณ์ที่ตามมาได้หลายรูปแบบ เช่น
- ไม่เท่าทันวิธีการทุจริตที่เกิดขึ้น เนื่องจากคนร้ายมีการพัฒนาวิธีการใหม่อย่างต่อเนื่อง
- แบ่งปันข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ได้ยาก
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาและกำกับดูแลระบบจ่ายเงินดิจิทัล
- ยากต่อการติดตามธุรกรรม
- ขาดบุคลากรที่มีมีทักษะเพียงพอและไม่สามารถตอบสนองต่อเหตุได้ทันเกิดความเสี่ยงต่อระบบ
- ไม่สามารถปรับตัวตอบสนองความต้องการทางกฏหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง หรือใช้เวลานาน
- ไม่สามารถบูรณาการระบบให้ทำงานร่วมกันได้
2.) โอกาส
การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ไม่ได้นำมาซึ่งอุปสรรคเพียงอย่างเดียว แต่อีกมุมหนึ่งยังนำพามาซึ่งโอกาสให้องค์กรได้ก้าวหน้ามาขึ้น หากองค์กรลุกขึ้นมาปรับปรุงจัดการ บุคลากร เทคโนโลยี และ กระบวนการ ให้เท่าทันความเสี่ยง ตัวอย่างโอกาสที่เกิดขึ้น เช่น
- มีโมเดล หรือ Rule ที่แม่นยำและเท่าทันในการรับมือกับการทุจริต
- สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าและช่วยให้ขยายลูกค้าได้
- รองรับเงินดิจิทัลและระบบจ่ายเงิน
- อัปสกิลให้พนักงานและช่วยลดงานที่ต้องใช้แรงคน
- อยู่เหนือเทรนด์พร้อมสำหรับอนาคต
- มีข้อมูล Insights ของลูกค้า
- รองรับปริมาณธุรกรรมได้มากขึ้น
- มีการปฏิบัตการที่สอดคล้องกับ Best Practice ของอุตสาหกรรมและสามารถรับมือการทุจริต
- มีเครือข่ายข้อมูลที่ช่วยวิเคราะห์และตรวจจับการทุจริต
- ตัดสินใจกลยุทธ์ขององค์กรได้
- สามารถวางกรอบของ Vendor ที่ตอบโจทย์เรื่องการทุจริตและระเบียบข้อบังคับขององค์กร
3.) กำกับดูแล
ในมุมของการกำกับดูแลเป็นสิ่งที่ต้องกระทำในหลายด้านในรูปแบบ Top-down ทั้งตัวแพลตฟอร์มป้องกันการทุจริต เทคโนโลยี กระบวนการ ข้อมูล รวมไปถึงโมเดล AI ที่ต้องโปร่งใสน่าเชื่อถือตรวจสอบได้และมีความเท่าเทียมพร้อมรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามองค์กรต้องมีการดำเนินการควบคุมอย่างต่อเนื่องพร้อมติดตามผล พัฒนาประสิทธิภาพ และปรับปรุงโมเดลอย่างสม่ำเสมอ
ถอดบทเรียน : ปัจจัยที่นำไปสู่ความเสี่ยงและอาชญากรรมการเงินปี 2025

คุณ Phadet Charoensivakorn, Deputy President & CEO, National Credit Beureau ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหลักๆแล้วคือประเด็นของกฎหมายควบคุมที่ทำให้การใช้งานข้อมูลเพื่อนำไปใช้พิจารณาพฤติกรรมเป็นไปได้ยาก โดยเขาได้ชี้ว่าข้อมูลในอดีตไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ประเด็นก็คือการใช้ข้อมูลใหม่กลับติดข้อจำกัดที่ต้องได้รับการอนุมัติโดยกฎหมายของอุตสาหกรรม แต่ตัวเขาเองยังเล็งเห็นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เพื่อแยกแยะพฤติกรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการคงไม่สามารถเป็นอัตโนมัติทั้งหมดได้เพราะธุรกรรมการเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
อย่างไรก็ดีอีกทัศนะหนึ่งในประเด็นด้านเทคโนโลยี คุณ Zernil Lurthanathan, Head of Risk Strategy, Transformation & Enterprise Risk Analytics, RHB Banking Group สนับสนุนการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่และจงคิดเสมอว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเดินทาง อย่างในกรณีของ AI อาจจะไม่ได้ผลเลิศในทุกกรณี ซึ่งไม่มีใครตอบได้แต่ทุกคนต้องนำไปทดลองตรวจสอบและปรับปรุงให้เข้ากับธุรกิจ แน่นอนว่าการใช้ AI ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการตรวจจับพฤติกรรมที่สังเกตได้ยากเพราะสามารถติดตามการใช้งานปกติของผู้ใช้ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นระบบจึงสามารถรับรู้ได้
นอกจากคุณ Zernil ยังได้แนะนำถึงการกำกับดูแล AI โดยจากประสบการณ์ของเธอต้องมีการตรวจสอบขั้นตอนต่างๆก่อนนำโมเดลไปใช้ได้จริง รวมถึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถชี้แจงเหตุผลได้ในว่าทำไม่ถึงตัดสินใจเช่นนั้น ตลอดจนการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่แนะนำ รู้ถึงความเสี่ยง แต่ขั้นตอนเหล่านี้ต้องไวพอเพราะโมเดลเปลี่ยนเร็ว ที่สำคัญที่สุดคือการรักษากระแสข้อมูลและ Insights ให้ได้
ปิดท้ายด้วยข้อมูล 7 ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเรื่องความเสี่ยงและอาชญากรรมทางการเงินจากคุณ Phadet โดยอันดับหนึ่งก็คือการทำ Digital Transformation เพราะคือประตูที่เปิดสู่ความเสี่ยงอื่นๆ ในขณะที่อีก 6 ปัจจัยประกอบด้วย กฏหมาย เศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์การเมือง ภัยไซเบอร์ พฤติกรรมผู้บริโภคและ Open Banking เป็นต้น อย่างไรก็ดีคุณ Phadet ยังได้ฝากประเด็นในเรื่องการต่อสู้กับการทุจริตว่าต้องมีการยกระดับทั้ง Ecosystem ตั้งแต่การนำไบโอเมทริกซ์เข้ามาใช้ ยกระดับแอปพลิเคชันมือถือ และที่สำคัญคือแต่ละฝ่ายต้องแชร์ข้อมูลให้อย่างเปิดกว้างให้ผู้ที่จำเป็นได้รู้ด้วยว่ามีเคสใหม่ถ้าทำได้เร็ว ก็จะมีเวลาออกมาตรการป้องกันที่สุดท้ายแล้วประชาชนคือผู้ได้ประโยชน์
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันของ SAS สามารถติดตามได้ที่ https://www.sas.com/th_th/home.html
โหลดฟรี! แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีและ AI ในการบริหารความเสี่ยงขององค์กรจาก SAS พร้อมรับ Robinhood Voucher มูลค่า 200 บาทฟรี! ที่ https://form.jotform.com/251121227960449
ติดตามชมบรรยากาศในงานได้ที่