IBM Flashsystem

Future Risk & Fraud Forum : แนวโน้มของการทุจริตการเงินและความเสี่ยงสำหรับปี 2025 โดย SAS

อาชญากรรมทางการเงินยังคงสร้างความเสียหายได้อย่างต่อเนื่อง นั่นพิสูจน์ได้ว่าแม้หน่วยงานป้องกันจะออกมาตรการใหม่มากมาย แต่ก็มิอาจยับยั้งกลไกการโกงที่เพิ่มขึ้นอยู่ได้ตลอด เช่นเดียวกันความเสี่ยงก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งที่ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆรอบด้าน ด้วยเหตุนี้เอง SAS จึงจัดงาน Future Risk & Fraud Forum ที่จะเชิญชวนเหล่าผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินและประกันภัยเข้ามาอัปเดตเรื่องราวของเทรนด์ด้านความเสี่ยงและการทุจริตในทุกๆปี โดยทีมงาน TechTalkThai ขอสรุปสาระสำคัญของงานมาให้ได้ติดตามกันในบทความนี้

คุณ ณัฐพล อภิลักโตยานันท์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ SAS

กรณีทุจริตทางการเงินยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยคนร้ายต่างพัฒนาเทคนิคและวิธีการใหม่อยู่เสมอ คนไทยจำนวนมากก็ได้รับผลกระทบ ที่ต้องหาวิธีการแก้ปัญหา แต่การจัดการปัญหาจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ใช่แค่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง อนึ่งการมาถึงของ AI มีทั้งข้อดีที่นำมาปรับใช้เพื่อต่อกรกับการจัดการปัญหาและความเสี่ยง แต่อีกมุมหนึ่ง AI ก็ยังต้องถูกกำกับดูแลให้สอดคล้องกับแนวทางของกฏหมายที่บังคับใช้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเงิน งานในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นทุกปีเพื่ออัปเดตเทรนด์ของการจัดการความเสี่ยงและปัญหาของการทุจริตทางการเงิน” — คุณ ณัฐพล อภิลักโตยานันท์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ SAS ได้กล่าวเปิดในช่วงแรก

คุณ Lan Holmes, Global lead for enterprise fraud solutions, Director, SaS
คุณ Shaw Pin Kuck, Head of risk management customer advisory(ASEAN), SAS

คุณ Lan Holmes, Global lead for enterprise fraud solutions, Director, SaS และคุณ Shaw Pin Kuck, Head of risk management customer advisory(ASEAN), SAS ได้ตั้งธงเกี่ยวกับความเสี่ยงว่าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับปัจจัยจำนวนมาก เช่น การแปรปรวนของสภาพอากาศได้กลายเป็นนโยบายเรื่องคาร์บอน หรือปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดนำไปสู่การตกงาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆรอบด้าน ทั้งเรื่องการเมือง สภาพเศรษฐกิจและสังคม การแตกแยก ความไม่เท่าเทียม หนี้ และอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ

1.) กฏหมาย 

ในแต่ละประเทศมีแนวทางปฏิบัติต่างกันออกไปโดยเรื่องของไซเบอร์ถือเป็นหัวข้อใหญ่ที่สุด โดยประกอบด้วยเรื่องพื้นฐานอย่างช่องโหว่ ไปจนถึง 3rd Party ดังนั้นกฏหมายจึงถือเป็นหัวข้อใหญ่ในมุมของความเสี่ยงด้วยที่ต้องปฏิบัติตาม ในแง่ของแนวทางต่อต้านการทุจริตแต่ละประเทศจะมีแนวทางหลักให้ปฏิบัติตัวซึ่งขึ้นกับการตีความ เช่น ธงเรื่องของการตรวจจับกิจกรรมแบบเรียลไทม์ แต่ต้องอิมพลีเม้นต์กระบวนการปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นี้ อย่างไรก็ตามกฏหมายยังเป็นเรื่องเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปแต่ละประเทศด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง

2.) กิจกรรมของอุตสาหกรรม

ประเทศไทยถือว่ามีความก้าวหน้าทางกิจกรรมทางอุตสาหกรรมอย่างมาก ยกตัวอย่าง เทคโนโลยีด้าน Digital ID ซึ่งจะช่วยในเรื่องของยืนยันตัวตนที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ หรือเงินดิจิทัล(Central Bank Digital Currency : CDBC) ที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของการชำระเงินในประเทศและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม แต่ในมุมนี้ก็ต้องคิดเรื่องของความเป็นส่วนตัวของธุรกรรมด้วย ในภูมิภาคยุโรปได้ให้ความสำคัญระบบป้องกันการทุจริตถึงขนาดว่าหากยังไม่มีโมเดลที่มั่นใจได้ก็จะยังไม่อนุมัติระบบเงินดิจิทัล 

มุมมองของประเทศไทยเทียบกับภูมิภาคพบว่า ณ ขณะนี้ไทยยังมีความเสี่ยงจากระดับหนี้ครัวเรือนสูงและไม่สามารถเก็บหนี้ได้นำไปสู่หนี้เสียในระบบ รวมถึงระบบปล่อยกู้ดิจิทัล ในขณะที่แนวทางสังคมไร้เงินสดผ่านพร้อมเพย์ก็ได้รับความนิยมแต่ยังยากต่อการขยายตัวออกนอกประเทศ ในระดับภูมิภาคอาเซียนมีความกังวลเกี่ยวกับการกู้ยืนข้ามประเทศและการช่อโกงในระบบอีคอมเมิร์ช แต่หากขยับไปที่ความเสี่ยงระดับสากลภัยทางไซเบอร์และข้อกำหนดจากมาตรควบคุมคือความเสี่ยงที่น่ากังวลมากกว่า

3.) การบูรณาการ

เมื่อมองถึงการผสานทุกปัจจัยเข้าด้วยกัน ย่อมเกี่ยวข้องไปถึงคน ระบบ ข้อมูล และกระบวนการ เช่นความสามารถในการรองรับลูกค้าที่เข้าถึงได้ทั่วโลก ระบบภายในที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทางกฎหมาย และเทคโนโลยีที่ไม่สามารถทำงานร่วมกัน จะทำยังให้สามารถมองแยกแยะการทุจริต และการเข้าใช้โดยสุจริตแต่ไม่คุ้นเคยออกจากกันได้ เป็นต้น

4.) การใช้ AI

การมาถึงของ AI มีประโยชน์ที่ประจักษ์ชัดในด้านธุรกิจ และคงไม่อาจปฏิเสธถึงการขยายตัวของเทคโนโลยีนี้ได้ ประเด็นสำคัญก็คือการมีแนวทางที่จะกำกับดูแลให้ครอบคลุมในมิติต่างๆ โดยเฉพาะความสอดคล้องกับกฏหมายทางอุตสาหกรรม

คุณ Lina Tong, ASEAN Fraud & Financial Crimes Lead จาก SAS

ในปี 2025 สถาบันและธุรกิจเกี่ยวกับการเงินกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งทำให้ต้องมีการบริหารจัดการทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งคน เทคโนโลยี กระบวนการ โดยไม่ขัดแย้งกับลูกค้า ภายใต้สภาวะข้อมูลที่ยุ่งเหยิงและเทคโนโลยีกำเนิดใหม่ นอกจากนี้องค์กรยังต้องสร้างความร่วมมือให้เกิดเครือข่ายที่จะสามารถยับยั้งการทุจริตได้อย่างครบวงจร“– คุณ Lina Tong, ASEAN Fraud & Financial Crimes Lead จาก SAS กล่าวในช่วงการบรรยายของเธอ โดยเน้นย้ำถึงองค์ประกอบต่างๆที่มีผลกระทบต่อการจัดการคดีทุจริตทางการเงิน

คุณ Lina ได้เริ่มต้นการบรรยายของเธอด้วยการตอกย้ำถึงเทรนด์ของปี 2024 ซึ่งสถาบันการเงินต้องพบกับวิธีการทุจริตที่พัฒนามากขึ้น ความเสี่ยงที่กดดันเข้ามาจากมุมด้านเทคโนโลยี ระเบียบข้อบังคับ และการมีบทบาทของ AI โดยยังต่อเนื่องไปสู่เทรนด์ที่น่าสนใจของปี 2025 คือ

  • ข้อมูลที่กระจัดกระจาย นำไปสู่ปัญหาด้านการดูแล
  • AI ที่เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • AI ในมือของอาชญากรทางการเงิน
  • การตัดสินใจขององค์กรจะทำได้อย่างไร
  • การเปลี่ยนแปลงของระบบไอทีที่ล้ำสมัย
  • การกำกับดูแลอย่างทั่วถึง

ความท้าทายขององค์กรในปัจจุบันไม่สามารถแยกขาดมุมมองระหว่างปัจจัยต่างๆได้ เช่น มุมมองจากวิธีการทุจริต มุมมองจากระเบียบข้อบังคับ มุมมองด้านเทคโนโลยี ซึ่งภายใต้ก็คือระบบอันซับซ้อนที่ข้อมูลกระจัดกระจายจากทั้งภายในและนอกองค์กร โดยทั้งหมดนี้จะต้องมีการบริหารจัดการคนและกระบวนการควบคู่ไป โดยไม่ลดทอนประสบการณ์การใช้บริการ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม ให้สามารถป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีคุณ Lina ได้แนะนำ 3 ประเด็นสำคัญของหัวข้อการบรรยายไว้ ดังนี้

1.) ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

หากองค์กรไม่ทำอะไรสักอย่างหรือเพิกเฉยต่อความท้าทายที่กล่าวมาข้างต้น อาจมีเหตุการณ์ที่ตามมาได้หลายรูปแบบ เช่น

  • ไม่เท่าทันวิธีการทุจริตที่เกิดขึ้น เนื่องจากคนร้ายมีการพัฒนาวิธีการใหม่อย่างต่อเนื่อง
  • แบ่งปันข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ได้ยาก
  • ไม่สามารถแก้ไขปัญหาและกำกับดูแลระบบจ่ายเงินดิจิทัล
  • ยากต่อการติดตามธุรกรรม
  • ขาดบุคลากรที่มีมีทักษะเพียงพอและไม่สามารถตอบสนองต่อเหตุได้ทันเกิดความเสี่ยงต่อระบบ
  • ไม่สามารถปรับตัวตอบสนองความต้องการทางกฏหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง หรือใช้เวลานาน
  • ไม่สามารถบูรณาการระบบให้ทำงานร่วมกันได้

2.) โอกาส

การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ไม่ได้นำมาซึ่งอุปสรรคเพียงอย่างเดียว แต่อีกมุมหนึ่งยังนำพามาซึ่งโอกาสให้องค์กรได้ก้าวหน้ามาขึ้น หากองค์กรลุกขึ้นมาปรับปรุงจัดการ บุคลากร เทคโนโลยี และ กระบวนการ ให้เท่าทันความเสี่ยง ตัวอย่างโอกาสที่เกิดขึ้น เช่น 

  • มีโมเดล หรือ Rule ที่แม่นยำและเท่าทันในการรับมือกับการทุจริต
  • สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าและช่วยให้ขยายลูกค้าได้
  • รองรับเงินดิจิทัลและระบบจ่ายเงิน
  • อัปสกิลให้พนักงานและช่วยลดงานที่ต้องใช้แรงคน
  • อยู่เหนือเทรนด์พร้อมสำหรับอนาคต
  • มีข้อมูล Insights ของลูกค้า
  • รองรับปริมาณธุรกรรมได้มากขึ้น
  • มีการปฏิบัตการที่สอดคล้องกับ Best Practice ของอุตสาหกรรมและสามารถรับมือการทุจริต
  • มีเครือข่ายข้อมูลที่ช่วยวิเคราะห์และตรวจจับการทุจริต
  • ตัดสินใจกลยุทธ์ขององค์กรได้
  • สามารถวางกรอบของ Vendor ที่ตอบโจทย์เรื่องการทุจริตและระเบียบข้อบังคับขององค์กร

3.) กำกับดูแล

ในมุมของการกำกับดูแลเป็นสิ่งที่ต้องกระทำในหลายด้านในรูปแบบ Top-down ทั้งตัวแพลตฟอร์มป้องกันการทุจริต เทคโนโลยี กระบวนการ ข้อมูล รวมไปถึงโมเดล AI ที่ต้องโปร่งใสน่าเชื่อถือตรวจสอบได้และมีความเท่าเทียมพร้อมรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามองค์กรต้องมีการดำเนินการควบคุมอย่างต่อเนื่องพร้อมติดตามผล พัฒนาประสิทธิภาพ และปรับปรุงโมเดลอย่างสม่ำเสมอ

(เรียงจากซ้ายไปขวา) 1. คุณ Phadet Charoensivakorn, Deputy President & CEO, National Credit Beureau 2. Zernil Lurthanathan, Head of Risk Strategy, Transformation & Enterprise Risk Analytics, RHB Banking Group 3. คุณ Lan Holmes, Global lead for enterprise fraud solutions, Director, SaS

คุณ Phadet Charoensivakorn, Deputy President & CEO, National Credit Beureau ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหลักๆแล้วคือประเด็นของกฎหมายควบคุมที่ทำให้การใช้งานข้อมูลเพื่อนำไปใช้พิจารณาพฤติกรรมเป็นไปได้ยาก โดยเขาได้ชี้ว่าข้อมูลในอดีตไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ประเด็นก็คือการใช้ข้อมูลใหม่กลับติดข้อจำกัดที่ต้องได้รับการอนุมัติโดยกฎหมายของอุตสาหกรรม แต่ตัวเขาเองยังเล็งเห็นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เพื่อแยกแยะพฤติกรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการคงไม่สามารถเป็นอัตโนมัติทั้งหมดได้เพราะธุรกรรมการเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

อย่างไรก็ดีอีกทัศนะหนึ่งในประเด็นด้านเทคโนโลยี คุณ Zernil Lurthanathan, Head of Risk Strategy, Transformation & Enterprise Risk Analytics, RHB Banking Group สนับสนุนการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่และจงคิดเสมอว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเดินทาง อย่างในกรณีของ AI อาจจะไม่ได้ผลเลิศในทุกกรณี ซึ่งไม่มีใครตอบได้แต่ทุกคนต้องนำไปทดลองตรวจสอบและปรับปรุงให้เข้ากับธุรกิจ แน่นอนว่าการใช้ AI ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการตรวจจับพฤติกรรมที่สังเกตได้ยากเพราะสามารถติดตามการใช้งานปกติของผู้ใช้ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นระบบจึงสามารถรับรู้ได้ 

นอกจากคุณ Zernil ยังได้แนะนำถึงการกำกับดูแล AI โดยจากประสบการณ์ของเธอต้องมีการตรวจสอบขั้นตอนต่างๆก่อนนำโมเดลไปใช้ได้จริง รวมถึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถชี้แจงเหตุผลได้ในว่าทำไม่ถึงตัดสินใจเช่นนั้น ตลอดจนการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่แนะนำ รู้ถึงความเสี่ยง แต่ขั้นตอนเหล่านี้ต้องไวพอเพราะโมเดลเปลี่ยนเร็ว ที่สำคัญที่สุดคือการรักษากระแสข้อมูลและ Insights ให้ได้ 

ปิดท้ายด้วยข้อมูล 7 ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเรื่องความเสี่ยงและอาชญากรรมทางการเงินจากคุณ Phadet โดยอันดับหนึ่งก็คือการทำ Digital Transformation เพราะคือประตูที่เปิดสู่ความเสี่ยงอื่นๆ ในขณะที่อีก 6 ปัจจัยประกอบด้วย กฏหมาย เศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์การเมือง ภัยไซเบอร์ พฤติกรรมผู้บริโภคและ Open Banking เป็นต้น อย่างไรก็ดีคุณ Phadet ยังได้ฝากประเด็นในเรื่องการต่อสู้กับการทุจริตว่าต้องมีการยกระดับทั้ง Ecosystem ตั้งแต่การนำไบโอเมทริกซ์เข้ามาใช้ ยกระดับแอปพลิเคชันมือถือ และที่สำคัญคือแต่ละฝ่ายต้องแชร์ข้อมูลให้อย่างเปิดกว้างให้ผู้ที่จำเป็นได้รู้ด้วยว่ามีเคสใหม่ถ้าทำได้เร็ว ก็จะมีเวลาออกมาตรการป้องกันที่สุดท้ายแล้วประชาชนคือผู้ได้ประโยชน์

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันของ SAS สามารถติดตามได้ที่ https://www.sas.com/th_th/home.html 

โหลดฟรี! แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีและ AI ในการบริหารความเสี่ยงขององค์กรจาก SAS พร้อมรับ Robinhood Voucher มูลค่า 200 บาทฟรี! ที่ https://form.jotform.com/251121227960449 

ติดตามชมบรรยากาศในงานได้ที่

About nattakon

จบการศึกษา ปริญญาตรีและโท สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ KMITL เคยทำงานด้าน Engineer/Presale ดูแลผลิตภัณฑ์ด้าน Network Security และ Public Cloud ในประเทศ ปัจจุบันเป็นนักเขียน Full-time ที่ TechTalkThai

Check Also

Gravitee ระดมทุน 60 ล้านดอลลาร์ ช่วยนักพัฒนาจัดการความซับซ้อน API

Gravitee Topco สตาร์ทอัพด้านการจัดการไปป์ไลน์ทราฟฟิกดิจิทัล ประกาศว่าได้ปิดรอบการระดมทุน Series C มูลค่า 60 ล้านดอลลาร์ที่นำโดย Sixth Street Growth ทำให้ยอดระดมทุนรวมจนถึงปัจจุบันสูงกว่า 125 ล้านดอลลาร์แล้ว

Google Workspace เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ AI มัลติโมดอลใหม่ ช่วยทำงานให้โดยอัตโนมัติ

Google กำลังเพิ่มฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ใหม่ให้กับ Google Workspace เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนอีเมล แปลงสไลด์โชว์เป็นวิดีโอ และทำงานอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น