Visa ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชำระเงินและบัตรเครดิตชั้นนำของโลก ออกมาเปิดเผยถึงรายงานหลังจากที่ห้างร้านและกลุ่มพ่อค้าในสหรัฐฯ เริ่มติดตั้งเครื่องเทอมินัลสำหรับอ่านบัตรเครดิตและเดบิตแบบใช้ชิป (EMV) ระบุสามารถลดอัตราการปลอมแปลงบัตรลงได้มากถึง 70%

สหรัฐฯ นับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านบัตรชำระเงินจากบัตรแบบแถบแม่เหล็กมาเป็นบัตรแบบใช้ชิป (EMV: Europay, MasterCard, Visa) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความมั่นคงปลอดภัยมากกว่าล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากธนาคารและห้างร้านส่วนใหญ่เห็นว่า การโละเครื่องอ่านแถบแม่เหล็กเดิมมาใช้เครื่องเทอมินัลแบบใหม่ที่สามารถอ่านบัตร EMV ได้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงยังคงยอมรับบัตรแบบแถบแม่เหล็กมาจนถึงก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หลายธนาคารและห้างร้านเจอมรสุมการแฮ็กบัตรแบบแถบแม่เหล็กในช่วงปี 2015 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี Home Depot และ Target ที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถปลอมบัตรและนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาผลักดันให้ธนาคารและห้างร้านเปลี่ยนมายอมรับการใช้บัตรเครดิตและเดบิตแบบ EMV แทน
รายงานของ Visa ระบุว่า ปริมาณห้างร้านที่ยอมรับการใช้บัตร EMV ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 392,000 ร้านในปี 2015 ไปเป็นมากกว่า 2,700,000 ร้านในเดือนธันวาคม 2017 คิดเป็นจำนวนมากถึง 59% ของร้านค้าทั้งหมดในสหรัฐฯ ในขณะที่ผู้ใช้บัตรแบบ EMV ก็เพิ่มขึ้นจาก 159 ล้านคน ไปเป็น 481 ล้านคนในช่วงเวลาเดียวกัน ในส่วนของ VISA เอง ร้อยละ 67 ของบัตรที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเป็นบัตร EMV แต่พบว่าการชำระเงินล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บัตร EMV ถูกใช้มากถึง 96% ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าบัตร EMV เข้ามาแทนที่บัตรแบบแถบแม่เหล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่าบัตรแบบ EMV จะช่วยลดการปลอมแปลงบัตรชำระเงินลงได้สูงถึง 70% เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน แต่ทาง FBI ก็ออกมาแจ้งเตือนว่า การใช้บัตร EMV ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% เนื่องจากอาชญากรยังคงสามารถปลอมบัตร EMV ได้เช่นกัน เพียงแค่ยากกว่าการปลอมบัตรแบบแถบแม่เหล็กมาก และกรณีส่วนใหญ่ที่พบคือ เป็นการปลอมแบบ Card-not-present (CNP) Fraud กล่าวคือ เป็นการขโมยข้อมูลบัตรทั้งหมดยกเว้นข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่บนชิป เช่น หมายเลขบัตร ชื่อผู้ถือบัตร วันหมดอายุ และรหัส CVV สำหรับใช้ชำระเงินออนไลน์โดยที่อาชญากรไม่ต้องแสดงบัตรจริงแก่ร้านค้า