วันนี้มีโอกาสได้มาฟัง Dell อัพเดตเทคโนโลยีฝั่ง Server บนตัว Dell PowerEdge 13G ในปีที่ผ่านมาครับ ก็ขอสรุปเนื้อหาสั้นๆ เอาไว้ให้ทุกท่านได้อ่านกันดังนี้ครับ
รองรับ Intel Xeon E5-2600 v4 แต่ยังไม่ทิ้ง v3 ให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น
Dell ประกาศรองรับ Intel E5-2600 v4 ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมถึง 44% -70% ด้วย CPU ที่มีสูงสุดถึง 22 Cores / 44 Threads บน Dell PowerEdge 13G แล้วตั้งแต่ต้นปี โดยลูกค้ายังคงเลือกได้ว่าจะใช้ Intel E5-2600 v4 เลยด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในราคาที่เท่าเดิม หรือจะใช้ E5-2600v3 เหมือนเดิมในราคาที่ถูกลง
ด้วยการรองรับ Intel Xeon E5-2600 v4 นี้ทำให้ปัจจุบันลูกค้ามีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะ Intel E5-2600 v4 ก็จะมี CPU หลากหลายแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น Clock Speed ต่ำ Core สูง หรือ Clock Speed สูง Core ต่ำ ให้เหมาะสมกับประเภทของ Application และวิธีการคิดค่า License ของ Software ระดับองค์กรต่างๆ ที่บาง Software จะคิดค่า License ตามจำนวน Core โดยสำหรับลูกค้ากลุ่ม Data Center ขนาดใหญ่หรือองค์กรที่ต้องการทำ Appliance ก็จะมี CPU Intel รุ่นที่ใช้พลังงานต่ำ รองรับความต้องการของตลาดกลุ่มนี้ได้
Dell รองรับ Intel Xeon E7-8800/4800 v4 สูงสุดที่ 4 Socket
สำหรับ Intel Xeon E7 v4 ที่เพิ่งประกาศเปิดตัวออกมาไม่นานนี้ Dell ก็ประกาศรองรับเรียบร้อยแล้วด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 26% ด้วยการรองรับ Intel Xeon E7 8800/4800 v4 สูงสุดถึง 4 Socket ต่อเครื่อง เน้นตอบโจทย์การใช้งานในกลุ่มของ ERP, CRM, Virtualization, Cloud, และ High Performance Computing โดยเฉพาะ
ฟีเจอร์พิเศษที่มีเฉพาะบน Dell PowerEdge 13G
Dell Fault Resilient Memory (FRM)
โดยปกติ CPU Intel จะมี Memory Controller อยู่บนตัว CPU เลยและทำหน้าที่เชื่อมต่อ CPU เข้ากับ Memory โดยคำสั่งหนึ่งที่เหล่าองค์กรมักจะชอบเซ็ตใน BIOS ก็คือการทำ Memory Mirroring ที่ RAM ที่ใช้ได้จะหายไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็จะเป็นการใช้ทรัพยากรโดยสิ้นเปลือง
Dell FRM ที่มีการเสริมความสามารถเข้าไปบน BIOS ของ Dell สามารถเลือกทำ Mirroring สำหรับ Memory แค่บางชุดเท่านั้นได้ ทำให้เราสามารถนำ VM หรือ Application ที่มีความสำคัญไปวางไว้บน Memory เหล่านั้นเพื่อให้บางบริการมีความทนทานในระดับที่สูงขึ้นได้
Dell Express Path
ใน CPU ของ Intel นั้นได้ใส่ IO Controller ลงมาด้วย เพื่อให้สามารถควบคุม PCIe SSD โดยเฉพาะได้ ซึ่ง Dell ก็ได้เพิ่ม Express Path ขึ้นมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ Disk ในลักษณะนี้โดยเฉพาะเป็นพิเศษ และจะมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า SSD ทั่วๆ ไปตั้งแต่ 10 เท่าขึ้นไป
Dell Processor Acceleration Technology
มีการปิด CPU Core บางตัวโดยอัตโนมัติเพื่อลดการเกิด Jitter ในการประมวลผลได้โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะบาง Application ที่จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อมีจำนวน Core น้อยๆ เมื่อเปิดฟีเจอร์นี้เอาไว้แล้วก็จะทำให้จำนวน Core ในการทำงานลดลงและมีความเร็วในการทำงานที่สูงขึ้น
Fail-Safe Virtualization
เป็นแนวคิดการใช้งาน Server เพื่อทำ Virtualization โดยไม่ต้องใช้งาน Hard Drive ภายในตัว แต่ติดตั้ง Hypervisor บน SD Card แทนและทำ Redundant บน SD Card ได้เลย ก็ทำให้สามารถสร้าง Diskless Server เพื่อให้บริการ Virtualization ได้ทันที
PowerEdge VRTX
ยังคงเป็น Server Form Factor เฉพาะของ Dell ที่สามารถใช้งาน Server Component บางส่วนร่วมกับ Blade Server ของ Dell ได้
Dell พัฒนา R730 ให้รองรับ CPU Intel รุ่นพิเศษ
เตรียมรองรับ CPU Intel E5-2689 v4 ที่ความเร็ว 3.7GH แบบ 10 Cores ที่กินไฟสูงถึง 165W และมีอุณหภูมิ 52C Tcase บน R730 รุ่นที่มีการออกแบบระบบพลังงานและระบบระบายความร้อนมาเป็นพิเศษในขนาดเพียง 2U เพื่อให้สามารถรองรับ Application ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษสำหรับการทำ High Frequency Trading ได้
Dell R730xd Multi-Disk Type
เป็น Server ที่รองรับ Disk ขนาด 1.6 นิ้ว, 2.5 นิ้ว (2 ลูกด้านหลัง) และ 3.5 นิ้วได้พร้อมๆ กันในเครื่องเดียว โดยเลือกได้ว่า 2.5″ Disk ด้านหลังจะควบคุมโดย RAID Controller หรือ SATA Controller ได้ตามต้องการ
Dell R730xd รุ่นใหม่ ออกแบบ RAID Controller ใหม่ให้ยืดหยุ่นขึ้น
แต่ก่อน Dell R730xd มีการแบ่ง RAID Controller ให้ควบคุม Disk ทีละ 12 ลูกได้สูงสุด ทำให้ต้องแบ่ง Volume Group ออกเป็น 2 ส่วน แต่ในรุ่นปัจจุบันผู้ใช้งานสามารถเลือกเองได้ว่า RAID Controller จะแบ่งการควบคุม Disk ได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ทำให้การทำ Zoning ของ Disk มีความยืดหยุ่นตามการใช้งานได้มากขึ้น
SANDisk DAS Cache เทคโนโลยีที่มาช่วยเสริม Dell PowerEdge ให้เร็วขึ้น
เป็นอีกไฮไลท์เด่นของวันนี้เลย โดย SANDisk ได้จับมือกับ Dell เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับทำ SSD Cache ทั้งการ Read และ Write โดยเฉพาะ และสามารถกำหนดการทำงานได้บนระดับของ Operating System เพื่อแบ่ง Cache ให้ตาม Application ที่เราต้องการได้ โดยรองรับทั้ง Windows, Linux และ VMware และมี Cache ได้ขนาดสูงสุดถึง 16TB โดยใช้ SSD ได้จากทุกค่าย
Cache เหล่านี้สามารถใช้เสริมความเร็วให้กับ Local Storage บนเครื่องหรือ External Storage ภายนอกก็ได้ โดยผู้ที่สนใจก็สามารถสั่งซื้อ License มาใช้ได้ในราคาหลักหมื่นเท่านั้น ณ ปัจจุบันมีธนาคารในฮ่องกงเลือกใช้บริการนี้บน Server กว่า 60 ตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว
จากการทดสอบให้เห็นจริงนั้นก็พบว่า จาก Disk Volume ปกติที่มีความเร็วประมาณ 300 IOPS นั้น เมื่อใส่ SANDisk DAS Cache เข้าไป ก็ทำให้มี IOPS สูงขึ้นไปจนถึงหลัก 60,000 – 70,000 IOPS เลยทีเดียว โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dell.com/en-us/work/learn/server-technology-components-sandisk-das-cache เลยนะครับ